โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีและพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยฝ่าฝืนกฎหมายและใช้อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวยิงนายเรือง แก้ววัน จนถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าและไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 289, 90,91
จำเลยให้การรับสารภาพฐานมีและพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและรับว่าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจริง แต่มิได้ไตร่ตรองไว้ก่อน
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ จำคุก 6 ปีฐานมีอาวุธปืนจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 1 ปี รวมจำคุก 8 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 4 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ให้ลงโทษประหารชีวิต จำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุม และสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ และคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดีสมควรปรานีลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(2) คงให้จำคุกจำเลย 25 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อหามีอาวุธปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตรวม 2 กระทงถึงที่สุด ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายจริงคดีคงมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยยิงผู้ตายเพราะผู้ตายทำร้ายจิตใจและข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุให้จำเลยบันดาลโทสะหรือไม่ ที่จำเลยนำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุจำเลยไปปรับความเข้าใจกับผู้ตาย แต่จำเลยถูกผู้ตายตบหน้านั้น จำเลยไม่ได้ถามค้านนางอรพินพยานโจทก์ แล้วจำเลยนำพยานมาสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวในตอนหลังจึงไม่มีน้ำหนัก ชั้นสอบสวนจำเลยก็มิได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวเลย ส่วนโจทก์มีนางอรพินเบิกความสอดคล้องกับคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลย เอกสารหมาย จ.8 ว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไปขอยาแก้ปวดที่บ้านผู้ตาย เมื่อนางอรพินเอายาให้จำเลย จำเลยออกไปจากบ้านแล้วกลับมาใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายจำเลยมิได้นำสืบโต้แย้งว่าพนักงานสอบสวนจัดทำบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนโดยมิชอบกลับเบิกความรับว่าพนักงานสอบสวนมิได้ทำร้ายหรือบังคับขู่เข็ญใด ๆ ทั้งสิ้น พยานหลักฐานจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ รับฟังไม่ได้ว่าจำเลยถูกตบหน้าแล้วจึงยิงผู้ตาย จึงไม่ใช่กรณีจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและไม่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยฟังว่าจำเลยไปขอยานางอรพินเนื่องจากต้องการดูว่าผู้ตายอยู่หรือไม่แสดงว่าจำเลยได้ตระเตรียมและมีแผนการฆ่าผู้ตายเพราะจำเลยถูกผู้ตายข่มเหงทำร้ายก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามภาพถ่ายบ้านผู้ตายหมาย จ.6 ชั้นบนด้านหน้าเปิดโล่งไม่มีฝาผนัง รอบ ๆ บ้านก็ไม่มีรั้ว สามารถมองเห็นภายในบ้านได้จากระยะไกล หากจำเลยต้องการทราบเพียงว่าผู้ตายอยู่ในบ้านหรือไม่ ย่อมไม่จำเป็นต้องทำทีไปขอยานางอรพิน นอกจากนี้นางอรพินยังเบิกความด้วยว่าเมื่อเอายาให้จำเลย จำเลยขอน้ำดื่มกับยาด้วย กรณีอาจเป็นไปได้ว่าขณะที่จำเลยไปขอยานางอรพินนั้น จำเลยป่วยจริงและยังมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เมื่อพบผู้ตายอยู่ในบ้าน ความแค้นที่เคยมีต่อผู้ตายก็เกิดขึ้นมาอีกในทันทีทันใด จึงกลับไปเอาอาวุธปืนมายิงผู้ตาย พฤติการณ์แห่งคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุก 20 ปี จำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมสอบสวนและชั้นพิจารณา เป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษจำคุกให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.