โจทก์ฟ้องว่า จำเลยพานางสาว ส. ผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวงและใช้กำลังประทุษร้าย ทั้งนี้จำเลยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจาร และจำเลยกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการใช้มือชกต่อยที่ท้องของผู้เสียหายที่ 1 และจับศีรษะของผู้เสียหายที่ 1 กระแทกกับตอไม้เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตายแก่กาย แล้วกอดปล้ำจูบบริเวณซอกคอของผู้เสียหายที่ 1 กับใช้มีดปลายแหลมออกมาข่มขู่บังคับเพื่อให้ผู้เสียหายที่ 1 ถอดกางเกง หลังจากนั้นจำเลยใช้มีดปลายแหลมเป็นอาวุธแทงประทุษร้ายร่างกายนายเอนก เชื้อตาเล็ง ผู้เสียหายที่ 2ถูกบริเวณฝ่ามือซ้าย เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย ภายหลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยใช้เป็นยานพาหนะในการพาผู้เสียหายที่ 1 ไปเพื่อการอนาจารเป็นของกลางและต่อมาจึงจับกุมจำเลยได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 284, 295, 91, 33 ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 284 วรรคแรก, 295 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำอนาจารและทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ให้ลงโทษจำคุก 2 ปีฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 ให้ลงโทษจำคุก 2 เดือน รวมให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 2 เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางพาผู้เสียหายที่ 1 นั่งซ้อนท้ายไปยังที่เกิดเหตุห่างบ้านผู้เสียหายที่ 1 ประมาณ500 เมตร ต่อมาจำเลยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุโดยทิ้งรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ หลังเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2 มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองกับนางเขียว พุทธากูลมารดาผู้เสียหายที่ 1 และนายดาบตำรวจสุภลักษณ์ ทานะสุข เบิกความได้ความว่า เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังที่เกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 กระโดดลงจากรถ จำเลยเข้ามาชกท้อง 1 ที แล้วฉุดเข้าไปในป่า กอดปล้ำ จูบซอกคอและบอกผู้เสียหายที่ 1 ว่าให้ยอมพี่เถอะผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าไม่ยอม จำเลยจึงจับศีรษะผู้เสียหายที่ 1 โขกตอไม้ที่พื้น กดศีรษะลงพื้น และนำมีดปลายแหลมออกมาขู่สั่งให้ผู้เสียหายที่ 1ถอดกางเกง ผู้เสียหายที่ 1 หลอกให้จำเลยปล่อยก่อน เมื่อจำเลยปล่อยผู้เสียหายที่ 1 จึงวิ่งหนีออกจากที่เกิดเหตุ ต่อมาผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 1 ร้องเรียกให้ช่วยแล้วติดตามไปยังที่เกิดเหตุ พบจำเลยกำลังออกจากที่เกิดเหตุ จึงสอบถามจำเลยถึงผู้เสียหายที่ 1 จำเลยกลับชักมีดออกมาแทงผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 2 ใช้มือซ้ายปัด จึงถูกใบมีดที่ฝ่ามือได้รับอันตรายแก่กาย หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้จากที่เกิดเหตุ เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความถึงเหตุการณ์ได้ต่อเนื่องกัน เมื่อประกอบกับโจทก์มีนายจักรกฤษณ์ น้ำเย็น แพทย์ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความประกอบว่า ผู้เสียหายที่ 1 มีรอยขีดข่วนบริเวณน่องซ้ายคล้ายถูกหญ้าบาด และบริเวณศีรษะด้านหลังมีลักษณะบวมโน ซึ่งน่าจะเกิดจากการกระแทกของแข็งไม่มีคมส่วนผู้เสียหายที่ 2 มีบาดแผลถูกของมีคมตัดผ่านตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย ป.จ.1 และ ป.จ.2 อีกทั้งยังปรากฏว่าจำเลยหลบหนีไปโดยทิ้งรถจักรยานยนต์ของจำเลยไว้ที่ที่เกิดเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลางทำให้เหตุการณ์ตามคำพยานโจทก์ดังกล่าวสอดคล้องสมเหตุผลมีน้ำหนักรับฟังได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย โดยความผิดฐานกระทำอนาจารกับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1 เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทชอบแล้ว แต่ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและฐานกระทำอนาจารนั้น จำเลยกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน ซึ่งตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อจะกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1เท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทมิใช่เป็นความผิดหลายกรรมดังศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยปัญหาว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับด้วยความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 เคยรักใคร่ชอบพอกันถึงขั้นมีการสู่ขอแต่งงานกันและจำเลยทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 โดยการจับศีรษะโขกตอไม้เป็นผลเพียงศีรษะโน ไม่มีบาดแผลแตก แสดงว่าจำเลยกระทำแก่ผู้เสียหายที่ 1ไม่รุนแรงนักตามพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าว ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกจำเลยถึงกระทงละ 2 ปี จึงหนักเกินไป ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษแก่จำเลยใหม่ให้เหมาะสม ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อพาผู้เสียหายที่ 1 ไปยังที่เกิดเหตุแล้วกระทำผิดคดีนี้ รถจักรยานยนต์ของกลางย่อมเป็นเพียงพาหนะที่ใช้พาไปยังที่เกิดเหตุไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดโดยตรง จึงไม่อาจริบได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่ก็เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เช่นกัน"
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 1ฐานกระทำอนาจาร และฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุก 1 ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ 2 แล้ว เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 2 เดือน และไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3