โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๒๘๔, ๒๙๕, ๙๑, ๓๓ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๒๘๔ วรรคแรก, ๒๙๕ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ ฐานกระทำอนาจาร และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๑ เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารอันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๒ ปี ฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ให้ลงโทษจำคุก ๒ ปี ฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๒ ให้ลงโทษจำคุก ๒ เดือน รวมให้ลงโทษ จำคุก ๔ ปี ๒ เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางพาผู้เสียหายที่ ๑ นั่งซ้อนท้ายไปยังที่เกิดเหตุห่างบ้านผู้เสียหายที่ ๑ ประมาณ ๕๐๐ เมตร ต่อมาจำเลยหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุโดยทิ้งรถจักรยานยนต์ของกลางไว้ หลังเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายทั้งสองกับมารดาผู้เสียหายที่ ๑ และ ส. เบิกความได้ความว่า เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายที่ ๑ ไปยังที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายที่ ๑ กระโดดลงจากรถ จำเลยเข้ามาชกท้อง ๑ ที แล้วฉุดเข้าไปในป่า กอดปล้ำ จูบซอกคอ และบอกผู้เสียหายที่ ๑ ว่าให้ยอมพี่เถอะ ผู้เสียหายที่ ๑ บอกว่าไม่ยอม จำเลยจึงจับศีรษะผู้เสียหายที่ ๑ โขกตอไม้ที่พื้น กดศีรษะลงพื้น และนำมีดปลายแหลมออกมาขู่สั่งให้ผู้เสียหายที่ ๑ ถอดกางเกง ผู้เสียหายที่ ๑ หลอกให้จำเลยปล่อยก่อน เมื่อจำเลยปล่อย ผู้เสียหายที่ ๑ จึงวิ่งหนีออกจากที่เกิดเหตุ ต่อมาผู้เสียหายที่ ๒ ซึ่งได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ ๑ ร้องเรียกให้ช่วยแล้วติดตามไปยังที่เกิดเหตุพบจำเลยกำลังออกจากที่เกิดเหตุ จึงสอบถามจำเลยถึงผู้เสียหายที่ ๑ จำเลยกลับชักมีดออกมาแทง ผู้เสียหายที่ ๒ ผู้เสียหายที่ ๒ ใช้มือซ้ายปัดจึงถูกใบมีดที่ฝ่ามือได้รับอันตรายแก่กาย หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ของกลางได้จากที่เกิดเหตุ เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความถึงเหตุการณ์ได้ต่อเนื่องกัน เมื่อประกอบกับโจทก์มีแพทย์ผู้ตรวจชันสูตรบาดแผลของผู้เสียหายทั้งสองมาเบิกความประกอบว่า ผู้เสียหายที่ ๑ มีรอยขีดข่วนบริเวณน่องซ้ายคล้ายถูกหญ้าบาด และบริเวณศีรษะด้านหลังมีลักษณะบวมโน ซึ่งน่าจะเกิดจากการกระแทกของแข็งไม่มีคม ส่วนผู้เสียหายที่ ๒ มีบาดแผลถูกของมีคมตัดผ่าน อีกทั้งยังปรากฏว่าจำเลยหลบหนีไปโดยทิ้งรถจักรยานยนต์ของจำเลยไว้ที่ที่เกิดเหตุให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดเป็นของกลาง ทำให้เหตุการณ์ตามคำพยานโจทก์ ดังกล่าวสอดคล้องสมเหตุผลมีน้ำหนักรับฟังได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยโดยตามความผิดฐานกระทำอนาจารกับความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๑ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ชอบแล้ว แต่ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร และฐานกระทำอนาจารนั้น จำเลยกระทำต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน ซึ่งตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาเพื่อจะกระทำชำเราผู้เสียหายที่ ๑ เท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่เป็นความผิดหลายกรรมดังศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ปัญหาว่าการกระทำความผิดของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมหรือเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยใช้รถจักรยานยนต์ของกลางเพื่อพาผู้เสียหายที่ ๑ ไปยังที่เกิดเหตุแล้วกระทำผิดคดีนี้ รถจักรยานยนต์ของกลางย่อมเป็นเพียงพาหนะที่ใช้พาไปยังที่เกิดเหตุไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดโดยตรง จึงไม่อาจริบได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้แต่ก็เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เช่นกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายที่ ๑ ฐานกระทำอนาจาร และฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๑ ปี เมื่อรวมกับโทษในความผิดฐานทำร้ายร่างกายแล้ว เป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด ๑ ปี ๒ เดือน และไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๓