คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 10,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 8 มกราคม 2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2558) ต้องไม่เกินที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คดีถึงที่สุด จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ขอศาลออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำบังคับ จำเลยลงชื่อรับคำบังคับไว้ด้วยตนเอง แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์ยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกจำเลยในฐานะลูกหนี้ตามคำพิพากษามาไต่สวนตามคำร้องลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า มีการส่งคำบังคับให้แก่จำเลยแล้วเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2558 หากจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ชอบที่จะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่จำเลยมีต่อบุคคลภายนอกเพื่อขายทอดตลาด และนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ แต่ไม่มีบทกฎหมายใดให้อำนาจศาลออกหมายเรียกลูกหนี้มาทำการไต่สวนได้ตามคำร้องของโจทก์ จึงให้ยกคำขอ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีอำนาจขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยลูกหนี้ตามคำพิพากษามาเพื่อการไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีหน้าที่สืบทรัพย์ของจำเลยจึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอต่อศาลออกหมายเรียกจำเลยมาไต่สวนได้ หากไม่เป็นผล โจทก์จึงค่อยดำเนินการขั้นตอนต่อไปโดยขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อไต่สวนสืบทรัพย์ของจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 276 นั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคำสั่งให้ชําระหนี้ (ลูกหนี้ตามคําพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคําบังคับที่ออกตามคําพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชําระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคําพิพากษาหรือคำสั่ง..." มาตรา 275 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะขอให้มีการบังคับคดี ให้ยื่นคําขอฝ่ายเดียวต่อศาลให้บังคับคดีโดยระบุให้ชัดแจ้งซึ่ง (1) หนี้ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับ (2) วิธีการที่ขอให้ศาลบังคับคดีนั้น" และมาตรา 277 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในการบังคับคดี ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษามีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษามีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับคดีมากกว่าที่ตนทราบ หรือมีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับคดีแต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่หรือเก็บรักษาไว้ที่ใด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นของลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือไม่ เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจยื่นคําขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคําร้องเพื่อให้ศาลทำการไต่สวนได้" บทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติที่ให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอให้มีการบังคับคดีถ้าลูกหนี้ตามคำพิพากษามิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษา โดยการยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลให้บังคับคดีโดยระบุให้ชัดแจ้งซึ่ง (1) หนี้ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตามคําบังคับ (2) วิธีการที่ขอให้ศาลบังคับคดีนั้น ทั้งนี้ ในการบังคับคดีดังกล่าว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอาจยื่นคำขอฝ่ายเดียวเพื่อให้ศาลทำการไต่สวนว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษามีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับคดีมากกว่าที่ตนทราบ หรือมีทรัพย์สินที่จะต้องถูกบังคับคดี แต่ไม่ทราบว่าทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่หรือเก็บรักษาไว้ที่ใด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าทรัพย์สินใดเป็นของลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือไม่ แต่กฎหมายหาได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสามารถยื่นคำขอฝ่ายเดียวให้ศาลทำการไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก่อนมีการขอให้บังคับคดีไม่ เมื่อโจทก์ยังมิได้ยื่นคำขอต่อศาลให้มีการบังคับคดีจึงไม่อาจยื่นคำขอให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยมาไต่สวนเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยได้ ทั้งยังเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ต้องสืบหาทรัพย์สินของจำเลยเพื่อดำเนินการบังคับคดีต่อไปด้วยตนเอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ