โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยในฐานที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการมรดกของหลวงมานิตทุมามาน และจำเลยที่ 2 เป็นทายาทโดยกล่าวว่า
(ก) เมื่อ 40 ปีมาแล้ว นางชุบ วิริยะมานิต บุตรีนายเชย วงษ์แพทย์ ซึ่งเป็นพี่สาวของโจทก์ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ได้ทำการสมรสเป็นสามีภริยากับหลวงมานิตทุมามาน โดยนางชูบมีทรัพย์สินเดิมตามบัญชีท้ายฟ้องหมายเลข 1 รวมราคา 1,380 บาท และได้มีสินสมรสเกิดขึ้นในระหว่างเป็นสามีภริยากับหลวงมานิตฯ ดังบัญชีหมายเลข 2 รวมราคา 50,113 บาท 64 สตางค์ เมื่อ พ.ศ. 2485 นางชุบถึงแก่กรรมนายเชย วงษ์แพทย์ บิดามีสิทธิควรได้รับมรดกนางชุบรวมเป็นเงิน12,873 บาท แต่หลวงมานิตฯ และนายเชยยังมิได้แบ่งปันกัน คงปกครองร่วมกันมาจนนายเชย วงษ์แพทย์ ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2488 โจทก์เป็นทายาทของนายเชยจึงขอรับมรดกแทนที่
(ข) นอกจากทรัพย์มรดกนางชุบอันควรได้แก่นายเชยดังกล่าวแล้วนายเชยยังมีทรัพย์ส่วนตัว อันควรเป็นมรดกได้แก่โจทก์เก็บรักษาอยู่ในบ้านเรือนที่อยู่ร่วมกับหลวงมานิตฯ อีกดังบัญชีหมายเลข 3 รวมราคา 1,530 บาท
(ค) เมื่อปีเศษมาแล้ว โจทก์ได้เป็นสามีภริยากับหลวงมานิตฯ โดยมีพิธีสมรสทางศาสนาโรมันคาทอลิก และอยู่กินด้วยกันมาจนหลวงมานิตถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2488 ในระหว่างอยู่กินด้วยกันหลวงมานิตฯ ได้เอาเงินของโจทก์ไปให้นายชื่อกู้ 2,000 บาท และได้ยึดสร้อยทองคำไว้เป็นหลักประกัน นอกจากนี้หลวงมานิตยังได้เอาสร้อยข้อมือ สร้อยคอของโจทก์ไปเก็บไว้อีก 4 สาย ราคา 1,750 บาท ซึ่งกองมรดกหลวงมานิตฯ ต้องรับใช้ให้แก่โจทก์
(ง) เมื่อหลวงมานิตฯ ถึงแก่กรรมลงแล้ว โจทก์ได้ออกเงินค่าทำศพสิ้นไป 552 บาท ตามบัญชี 4
โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ใช้เงินตามฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยต่อสู้ว่า นางชุบไม่มีสินเดิม ฟ้องขาดอายุความมรดกต่อสู้อย่างอื่นอีกหลายประการ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า
(1) ไม่เชื่อว่านางชุบมีสินเดิม นางชุบจึงไม่มีสิทธิในส่วนสมรสของหลวงมานิตฯ โจทก์จึงไม่มีส่วนที่จะรับสินสมรสได้เช่นเดียวกัน
(2) ฟังว่า ทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข 3 บางรายการเป็นของนายเชย
(3) เชื่อว่าหลวงมานิตฯ ได้เอาเงินของโจทก์ให้นายชื่นกู้ไป 2,000 บาทจริง และได้เก็บสร้อยของโจทก์ให้ตามบัญชีหมายเลข 5 อันดับ 2 จริง
(4) ค่าทำศพ 552 บาทเชื่อว่า โจทก์ได้จ่ายจริง
จึงพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีเท่าที่กล่าวในข้อ 2, 3, 4 ส่วนจำเลยที่ 1 เข้ามาจัดการเกี่ยวข้องในเรื่องหน้าที่ทนายความและโดยความเรียกร้องของจำเลยอื่นที่เป็นทายาทจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว
โจทก์และจำเลยที่ 2, 3, 4 ต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และพิพากษาแก้ว่า
(1) ฟังว่านางชุบมีสินเดิม จึงมีสิทธิได้สินสมรส แต่ปรากฏว่านางชุบตายมาเกินกว่า 1 ปี นายเชยมิได้เรียกร้องขอส่วนแบ่งปันจากหลวงมานิตฯ คดีจึงขาดอายุความแล้ว
(2) เรื่องทรัพย์นายเชย วินิจฉัยว่า ทรัพย์นายเชยมีมากกว่าที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย
จึงพิพากษาแก้ว่า ให้จำเลยส่งทรัพย์หมายเลข 3 แก่โจทก์มากกว่าที่ศาลชั้นต้นพิพากษา นอกจากนั้นพิพากษายืน
โจทก์ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางชุบมีสินเดิม ฉะนั้นเมื่อนางชุบตาย นางชุบจึงมีมรดก คือสินเดิมและสินสมรสส่วนของนางชุบ ส่วนประเด็นที่ว่า สิทธิของนายเชยบิดาจะรับมรดกนางชุบขาดอายุความมรดกแล้วหรือยังนั้น เห็นว่า การที่นายเชยบิดานางชุบและพ่อตาหลวงมานิตฯ บุตรเขย ได้ยกครัวมาอยู่ร่วมเป็นครอบครัวเดียวกับลูกสาวลูกเขยจนลูกสาวตายลง จนลูกเขยได้โจทก์ซึ่งเป็นลูกสาวคนเล็กเป็นเมียอีกคนหนึ่ง แม้ยังมิได้จดทะเบียนสมรส ก็จะยังถือไม่ได้ว่า นายเชยทอดทิ้งไม่ฟ้องร้องว่ากล่าวขอแบ่งมรดกของนางชุบในอายุความล่วงเลย 1 ปี และเห็นว่านายเชยมีส่วนเป็นเจ้าของในกองทรัพย์สินที่จำเลยอ้างว่าเป็นมรดกของหลวงมานิตฯ ทั้งหมดนั้นอยู่ด้วย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับมรดกของนายเชย คือทรัพย์อันเป็นส่วนตัวเฉพาะนายเชยประเภทหนึ่ง และทรัพย์ที่นายเชยมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมอยู่ในกองทรัพย์สินของหลวงมานิตฯ เป็นส่วนมรดกของนางชุบ อันที่จะตกได้แก่นายเชยอีกประเภทหนึ่ง
สำหรับทรัพย์ประเภทหนึ่งนั้น เห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ว่าทรัพย์ตามบัญชีหมายเลข 3 เป็นของนายเชยทั้งหมด
ส่วนทรัพย์ประเภท 2 ฟังว่า นางชุบมีสินเดิมรวมเป็นเงิน 1,380 บาท
สินสมรสจำเลยเถียงว่า ไม่มีตามบัญชีท้ายฟ้องโจทก์ และหลายสิ่งได้มาเมื่อนางชุบตายแล้ว ซึ่งจำเลยจะนำสืบในเวลาพิจารณาดังนี้ไม่เรียกว่า จำเลยแสดงชัดแจ้งในคำให้การว่าปฏิเสธรายการใด ศาลฟังว่าสินสมรส คือ ที่ดินบ้านเรือน คือ ที่ดินโฉนดที่ 2240 และเรือนปั้นหยาหนึ่งหลังปรากฏว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำความตกลงกับจำเลยที่ 2, 3 ให้จำเลยที่ 2 เอาเงินเข้ากองมรดก 500 บาท เพื่อเอาที่ดินเป็นของตนและให้จำเลยที่ 3 เอาเงินเข้ากองมรดก 2,500 บาท เพื่อเอาเรือนเป็นของตน เรียกกันว่า เป็นการประมูลระหว่างทายาท ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลล่างที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้จัดการมรดกอันจะมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีจัดการและปันมรดก ฉะนั้นจำเลยที่ 1 จึงมีฐานะเพียงแต่เป็นผู้เข้าจัดการทรัพย์สินแทนจำเลยที่ 2, 3, 4 และนางชี ฉะนั้นการที่จัดทำกันโดยเรียกว่า ประมูลกันเองในระหว่างทายาทนั้น จึงมิใช่เป็นการขายทรัพย์มรดกให้พ้นจากการเป็นทรัพย์มรดกไปได้ หากเป็นการแบ่งมรดกกันนั้นเอง ราคาที่ต่างชำระในการประมูลจึงไม่กลายเป็นทรัพย์สินกองมรดก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับที่ดินโฉนดที่ 2240 นั้น ก็ยังหาได้มีการทำหนังสือและจดทะเบียนการซื้อขายต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างใดไม่ ยังไม่เป็นการซื้อขาย จึงชี้ขาดว่า ที่ดินโฉนดที่ 2440 ยังคงเป็นทรัพย์สิน ในกองมรดกรายนี้อยู่ โดยให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิเรียกเงินจำนวน500 บาทที่จ่ายเข้ากองมรดกคืนไป ส่วนสำหรับเรือนนั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 3 รื้อไปหมดแล้ว ควรตั้งราคาตามที่โจทก์ตีราคามาท้ายฟ้องเพราะจำเลยไม่มีพยานผู้ชำนาญในการตีราคามาแสดงเป็นอย่างอื่นจึงกำหนดราคา 8,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 3 จะต้องส่งคืนเข้ากองมรดกหักเงิน 2,500 บาท ที่จำเลยที่ 3 ส่งเข้ากองมรดกไว้แล้ว ส่วนทรัพย์อย่างอื่น อันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่ปรากฏว่ามีการขายให้แก่บุคคลที่ 3 ไปแล้วนั้น ไม่ปรากฏว่ามีเหตุส่อความไม่สุจริต ควรถือเอาราคาที่ขายได้นั้นเป็นกองมรดกโดยหักค่าใช้จ่ายในการนั้น ๆ ออกได้
เงิน 2,000 บาท ที่หลวงมานิตฯ ได้ให้นายชื่นกู้ไปนั้นปรากฏว่าเป็นเงินของโจทก์ ฝ่ายจำเลยถือว่าหลวงมานิตฯ เป็นตัวแทนโจทก์โจทก์ต้องไปเรียกร้องจากลูกหนี้นั้นเอาเอง ศาลฎีกาเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างหลวงมานิตฯ กับโจทก์นั้นก็ยังเป็นผัวเมียกันโดยพฤตินัยเมียมอบเงินให้อยู่ในกำมือผัวเพื่อหาผลประโยชน์ให้ หาใช่เป็นการตั้งตัวแทนให้ไปทำนิติกรรมให้กู้อย่างใดไม่ หลวงมานิตฯ จึงต้องรับผิดคืนเงิน 2,000 บาท ให้โจทก์โดยถือว่าหลวงมานิตฯ เป็นผู้ให้กู้ย่อมมีสิทธิและความรับผิดต่อผู้กู้โดยตรงอยู่ เงินที่โจทก์มอบให้หลวงมานิตฯ ไว้นั้นเท่ากับเงินฝาก ซึ่งผู้รับฝากจำต้องคืนให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 672 จึงชี้ขาดว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระเงิน 2,000 บาท จากกองมรดกด้วย
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้โจทก์มีสิทธิแบ่งทรัพย์กองมรดกหลวงมานิตฯ ตามนัยที่กล่าวแล้วตามส่วนของโจทก์ด้วย