โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,339 วรรคสอง , 340 ตรี พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ , 72, 72 ทวิ ให้ จำเลย คืน ทรัพย์สิน ที่ ถูก ชิงทรัพย์ หรือ ใช้ ราคาเป็น เงิน 13,400 บาท แก่ ผู้เสียหาย นับ โทษ จำเลย ต่อ จาก โทษ ของ จำเลยใน คดีอาญา อื่น อีก เจ็ด คดี ของ ศาลชั้นต้น
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ แต่ รับ ว่า เป็น บุคคล คนเดียว กับ จำเลย ใน คดีที่ โจทก์ ขอให้ นับ โทษ ต่อ
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง , 340 ตรี พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม ,8 ทวิ วรรคหนึ่ง , 72 ทวิ วรรคสอง ฐาน ชิงทรัพย์ จำคุก 15 ปีฐาน มี อาวุธปืน โดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จำคุก 1 ปี ฐาน พา อาวุธปืน ติดตัวโดย ไม่ได้ รับ อนุญาต จำคุก 6 เดือน รวม จำคุก 16 ปี 6 เดือน ให้ จำเลยคืน หรือ ใช้ ราคา ทรัพย์ จำนวน 13,400 บาท แก่ ผู้เสียหาย นับ โทษ จำเลยต่อ จาก โทษ ของ จำเลย ใน คดีอาญา หมายเลขแดง ที่ 828/2537 และหมายเลขแดง ที่ 859/2537 ของ ศาลชั้นต้น
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา ศาลชั้นต้น สั่ง รับ ฎีกา จำเลย เฉพาะ ใน ข้อหา ความผิดฐาน ชิงทรัพย์ ส่วน ข้อหา ความผิด ตาม พระราชบัญญัติ อาวุธปืน ฯ เป็น ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้าม ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึง ไม่รับ
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า "ข้อเท็จจริง ที่ โจทก์ นำสืบ มา โดย จำเลย มิได้โต้แย้ง เป็น อย่างอื่น ฟังได้ ยุติ ว่า ใน วัน เวลา และ สถานที่เกิดเหตุตาม ฟ้อง มี คนร้าย ใช้ อาวุธปืน และ รถจักรยานยนต์ เป็น ยานพาหนะ ชิงทรัพย์ของ นาง อุบล บุตรขาว ผู้เสียหาย ไป หลาย รายการ รวมเป็น เงิน 13,400บาท ตาม บัญชีทรัพย์ ถูก ประทุษร้าย เอกสาร หมาย จ. 2 ปัญหา วินิจฉัยตาม ฎีกา ของ จำเลย มี ว่า จำเลย เป็น คนร้าย ดังกล่าว หรือไม่ประจักษ์พยาน โจทก์ มี ผู้เสียหาย เบิกความ ว่า ขณะ นั่ง รอ ให้ นาย อุดม สอน ขับ รถยนต์ อยู่ ใต้ ต้น ไม้ ริมถนน ลูกรัง ไป บ้าน วังหิน จำเลย ขับรถจักรยานยนต์ ผ่าน หน้า ไป ห่าง ประมาณ 15 เมตร แล้ว กลับ รถ มา จอด ข้างผู้เสียหาย สอบถาม ถึง ทาง ที่ จะ ไป วัด ตา ล ระหว่าง พูด คุย กัน นั้นจำเลย ลง จาก รถ ล้วง อาวุธปืน ออก มาจาก กระเป๋า สะพา ยผ้า ร่ม สี ดำ จี้ ที่ คอผู้เสียหาย พูด ขู่ มิให้ ร้อง แล้ว ถอด เอา สร้อยคอ และ กระเป๋า สตางค์ใน มือ ผู้เสียหาย ไป ฝ่าย จำเลย มี ตัว จำเลย และ นาง มยุรี ถุงเงิน ภริยา จำเลย เป็น พยาน เบิกความ ว่า วันเกิดเหตุ จำเลย อยู่ ที่ บ้านเห็นว่า ขณะ เกิดเหตุ เป็น เวลา กลางวัน มองเห็น กัน ได้ ชัดเจน จำเลย ขับรถจักรยานยนต์ ผ่าน ผู้เสียหาย ไป แล้ว กลับ รถ มา พูด คุย กับ ผู้เสียหายเป็น เวลา นาน พอสมควร ที่ ผู้เสียหาย จะ สังเกต และ จำ จำเลย ได้ เมื่อ ไปแจ้งความ ต่อ นาย ดาบตำรวจ ศิริ วชิรัตกุล ที่ ป้อม ตำรวจ ตำบล บ้านกร่าง และ แจ้ง ต่อ ร้อยตำรวจเอก วิเชียร พรมอุทัย พนักงานสอบสวน ผู้เสียหาย ก็ ยืนยัน ว่า จำ คนร้าย ได้ และ ระบุ รูปพรรณคนร้าย ตลอดจน เสื้อผ้า ที่ คนร้าย สวม ใส่ ไว้ โดย ละเอียด เจ้าพนักงานตำรวจ จับ จำเลย ได้ หลัง เกิดเหตุ เพียง 10 วัน เศษ ก่อน จับ จำเลย ได้เจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้ นำ ภาพถ่าย นักโทษ มา ให้ ผู้เสียหาย ดู ผู้เสียหายว่า ไม่ใช่ คนร้าย ต่อมา ได้ นำ ภาพถ่าย จำเลย ใน ใบขับขี่ รถจักรยานยนต์มา ให้ ดู ผู้เสียหาย จึง บอก ว่า เป็น คนร้าย และ ขณะ ตรวจค้น บ้าน ของ จำเลยผู้เสียหาย ก็ ได้ ชี้ บอก ถึง กระเป๋า สะพา ยผ้า ร่ม สี ดำ และ เสื้อ ที่ จำเลยสวม ใส่ ใน วันเกิดเหตุ ตรง กับ ที่ แจ้งความ ไว้ ตั้งแต่ แรก ให้ เจ้าพนักงานตำรวจ ยึด ไว้ เป็น ของกลาง เชื่อ ได้ว่า ผู้เสียหาย จำ จำเลย ได้ จริงพยานหลักฐาน โจทก์ ฟังได้ โดย ปราศจาก ข้อสงสัย ว่า จำเลย ได้ ชิงทรัพย์ผู้เสียหาย ไป จริง ตาม ฟ้อง พยาน ฐาน ที่อยู่ ของ จำเลย ไม่มี น้ำหนักพอ ที่ จะ รับฟัง หักล้าง พยานโจทก์ ได้ ที่ ศาลล่าง ทั้ง สอง พิพากษาให้ ลงโทษ จำเลย ชอบแล้ว ฎีกา จำเลย ฟังไม่ขึ้น "
พิพากษายืน