คดีนี้เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะลูกหนี้  จำเลยที่ ๒ ที่ ๓  ในฐานะผู้ค้ำประกันและจำนอง  ร่วมกันชำระเงินตามสัญญารับสภาพหนี้  และตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย  หากไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระให้โจทก์   จำเลยทั้งสามอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี  ศาลอุทธรณ์สั่งว่า  ถ้าจำเลยทั้งสามหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษามาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด  โดยให้พิจารณารวมกับหลักทรัพย์ที่จำเลยจำนองไว้กับโจทก์  และที่ศาลชั้นต้นบังคับคดีชั่วคราวไว้  ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์  ผู้ร้องทั้งสองยอมตนเข้าร่วมค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวโดยนำโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๙๖๖๒ มาเป็นหลักประกันโดยมอบโฉนดดังกล่าวให้ยึดถือไว้และทำสัญญาค้ำประกันไว้ว่า  เมื่อคดีถึงที่สุดโดยจำเลยแพ้คดีโจทก์  และจำเลยไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด  ผู้ร้องทั้งสองยอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินซึ่งผู้ร้องทั้งสองนำมาวางเป็นประกันต่อศาลในทันที  ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะการชำระเงินตามสัญญารับสภาพหนี้  โจทก์และจำเลยทั้งสามฎีกา  จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกา  ศาลฎีกามีคำสั่งว่า  อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา  โดยถือหลักประกันเดิมที่ทำไว้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่  ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา  โจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า  จำเลยทั้งสามยอมร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินเจ็ดล้านบาทเศษ  โดยชำระทันที ๕๐๐,๐๐๐ บาท  ส่วนที่เหลือขอผ่อน ๑๘ งวด  โจทก์จำเลยตกลงกำหนดไว้ในสัญญายอมข้อ ๘ ว่า  เมื่อชำระหนี้งวดที่ ๗ แล้ว  โจทก์ยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๖๖๒  หลุดพ้นจากการค้ำประกันในการบังคับคดี  โจทก์จำเลยตกลงให้นายเลอพงษ์เป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญายอม  โดยผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม  และยอมให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันได้จนสิ้นเชิง  ศาลฎีกาพิพากษาบังคับคดีตามยอม  ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า  โจทก์และจำเลยตกลงทำยอมกัน  และศาลได้พิพากษาไปตามสัญญายอมแล้ว  และได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว  ผู้ร้องมิได้ตกลงและมิได้เข้าค้ำประกันในสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ด้วย  สัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลในการทุเลาการบังคับคดีย่อมสิ้นสุดไป  ผู้ร้องจึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ผู้ร้องจึงขอถอนสัญญาประกันและขอรับโฉนดของผู้ร้องคืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคืนโฉนดให้ผู้ร้องไม่ได้  เพราะตามสัญญาประกันผู้ร้องสัญญาจะค้ำประกันจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ  ให้คืนโฉนดเลขที่ ๑๙๖๖๒ ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  สัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทั้งสองทำไว้ในชั้นศาลอุทธรณ์ซึ่งมีผลบังคับถึงชั้นฎีกานั้น  ในกรณีที่จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา  โดยการผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยเป็นงวด ๆ เป็นข้อตกลงกันในการบังคับคดี  เมื่อสัญญายอมข้อ ๘ มีว่า   เมื่อจำเลยชำระหนี้งวดที่ ๗ แล้ว  โจทก์จึงยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๙๖๖๒ หลุดพ้นจากการค้ำประกันการบังคับคดี  และปรากฏจากคำแถลงของโจทก์ว่า  จำเลยยังไม่ได้ชำระเงินงวดที่ ๗ ให้โจทก์  เช่นนี้  กรณีก็ต้องเป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  กล่าวคือ  ผู้ร้องจึงยังไม่พ้นไปซึ่งความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันประการหนึ่ง  และโดยเหตุที่มูลคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยฝ่ายเดียว  จำเลยหาได้มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อโจทก์  จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะสละได้ทั้งไม่ได้สิทธิอะไรจากสัญญานั้น  กรณีจึงไม่ได้เป็นไปตามมาตรา ๘๕๒ อีกประการหนึ่งเทียบตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๓๒๕/๒๕๒๑ เหตุนี้เห็นว่าหนี้เดิมยังคงมีอยู่  ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ได้ทำไว้ต่อศาล  และเหตุที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน  โดยมีผู้ค้ำประกันตามสัญญายอมอีก  หามีผลทำให้ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องได้ทำไว้เปลี่ยนแปลงไปไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น