โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันนายบวร  ศุภพฤกษ์  เข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ในตำแหน่งหัวหน้าช่างเครื่องการไฟฟ้าจังหวัดพังงา  ระหว่างทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์  นายบวรได้ขับรถยนต์ของโจทก์ผู้เป็นนายจ้างในทางการที่จ้างไปชน นายศรี  ประสมทรัพย์  นายสนิท  ไพรสุวรรณ  นายสมนึก  มงคลบุตร  ได้รับบาดเจ็บสาหัส  และรถจักรยานเสียหาย  บุคคลทั้งสามได้ฟ้องโจทก์กับนายบวรให้ใช้ค่าเสียหาย  โจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลทั้งสามเป็นเงิน  ๓๐,๐๐๐ บาท   ปรากฏตามคดีแดงที่ ๓๐-๓๑-๓๒/๒๕๐๗  และนายบวรทำให้รถยนต์ของโจทก์ที่ขับขี่ไปชนเสียหาย  ต้องซ่อมใหม่เสียเงินไป ๓,๕๐๐ บาท  ซึ่งจำเลยผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบ  ขอให้บังคับให้จำเลยใช้เงิน ๓๓,๕๐๐ บาทและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า  จำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายบวร  โดยมีเงื่อนไขว่า  ถ้านายบวรทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในหน้าที่การงานหัวหน้าช่างเครื่องยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ  จำเลยจึงจะรับผิดชอบในวงเงิน ๑,๐๐๐ บาท  แต่มูลคดีที่นายบวรขับรถไปชนบุคคลทั้งสาม  และโจทก์ต้องใช้ค่าเสียหายไปกับค่าซ่อมรถยนต์นั้น  นายบวรได้กระทำไปโดยพลการนอกหน้าที่การงานดังที่โจทก์ได้ให้การไว้ในคดีที่กล่าวไว้ในฟ้องแล้ว  การกระทำของนายบวรจึงนอกเหนือความรับผิดของจำเลย  ถ้าจำเลยต้องรับผิดก็ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท
วันชี้สองสถาน  จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันตามต้นฉบับที่โจทก์ส่งศาล (จ.๑)  และโจทก์เสียค่าซ่อมรถยนต์ไป ๓,๕๐๐ บาทจริง  โจทก์จำเลยรับกันว่า  นายบวรและโจทก์ถูกฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิด  ศาลพิพากษาตามยอมไปแล้วตามคดีแดงที่ ๓๐-๓๑-๓๒/๒๕๐๗  จำเลยขออ้างคำขอให้การจำเลยที่ ๒  (คือโจทก์คดีนี้)  ในสำนวนดังกล่าว  แล้วโจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๓๓,๕๐๐ บาท  กับดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่ได้พิจารณาสัญญาค้ำประกันหมาย จ.๑ แล้ว  เห็นว่า  โจทก์จ้างนายบวรทำงานในหน้าที่หัวหน้าช่างเครื่อง  ตามปกติธรรมดาย่อมเป็นที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่า  ถ้านายบวรทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เฉพาะในหน้าที่การงานเท่านั้น  ผู้ค้ำประกันจึงจะต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์  ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดชอบทุกกรณีที่นายบวรกระทำขึ้นอกหน้าที่การงานที่ว่าจ้างกันด้วยแล้ว  ก็ชอบที่จะระบุความข้อนี้ไว้ให้ชัดแจ้งในสัญญาค้ำประกัน  เพราะเป็นสัญญาที่ผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดแต่เพียงผู้เดียว  เมื่อสัญญาค้ำประกันรายนี้มิได้ระบุข้อนี้ไว้  ก็ต้องตีความให้เป็นคุณแก่ผู้ค้ำประกันว่าต้องรับผิดเฉพาะความเสียหายที่นายบวรกระทำขึ้นในหน้าที่การงานเท่านั้น
ปัญหาต่อไปมีว่า  การที่นายบวรขับรถยนต์ของโจทก์ไปก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นตามฟ้องนั้น  ได้กระทำไปในทางการที่จ้างหรือในหน้าที่หัวหน้าช่างเครื่องตามฟ้องหรือไม่  จำเลยให้การปฏิเสธข้อนี้  และการที่โจทก์กับนายบวรทำยอมความใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และศาลพิพากษาไปตามยอมความแล้วนั้น  คำพิพากษานั้นไม่มีผลผูกพันจำเลยซึ่งเป็นบุคคลนอกคดีที่กล่าวนั้น  เมื่อเป็นเช่นนี้  ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาจึงมีมติว่าเป็นหน้าที่โจทก์ต้องนำสืบ  เมื่อโจทก์จำเลยต่างไม่สืบ  โจทก์ก็ไม่อาจชนะคดีได้
พิพากษากลับ  ให้ยกฟ้องโจทก์