โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 335,357, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุกคนละ 4 ปีจำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 คนละ 2 ปี 8 เดือน ข้อหาฐานลักทรัพย์ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้เบื้องต้นว่ารถจักรยานยนต์ยี่ห้อยามาฮ่าเบลล์ เลขทะเบียน ลำพูน ฆ-9024ของผู้เสียหายถูกคนร้ายลักไป ผู้เสียหายได้แจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีสัณห์พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองเชียงใหม่ร้อยตำรวจตรีสัณห์จึงได้แจ้งอายัดไปยังแผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดลำพูน ต่อมามีผู้นำรถของผู้เสียหายไปขายให้จำเลยที่ 2พร้อมทั้งได้มอบใบคู่มือการจดทะเบียนกับหนังสือแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์ไว้ให้ด้วย จำเลยที่ 2 ได้นำไปขายให้จำเลยที่ 1 พร้อมกับมอบเอกสารดังกล่าวให้ไว้ จำเลยที่ 1ได้นำไปขายต่อให้บริษัทเจริญมอเตอร์ จำกัด อันเป็นบริษัทในเครือเดียวกันกับบริษัทเอสวีร่วมทุน จำกัด โดยมีจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายขายของบริษัทเอสวีร่วมทุน จำกัด เป็นผู้รับซื้อไว้แล้วขายต่อให้นางสุธรรมและได้มอบใบคู่มือการจดทะเบียนกับหนังสือแจ้งความเรื่องขอโอนและขอรับโอนทะเบียนรถยนต์เอกสารหมายจ.2, จ.3 ให้นางสุธรรมไปจัดการโอนทะเบียนเอง ปรากฏว่าเมื่อนางสุธรรมยื่นเรื่องขอโอนทะเบียนแล้ว เจ้าหน้าที่แผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดลำพูนตรวจพบว่าเลขเครื่องกับเลขตัวถังรถไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในใบคู่มือการจดทะเบียน แต่ตรงกับเลขทะเบียน ลำพูนฆ-9024 ซึ่งเป็นรถของผู้เสียหายที่ได้ถูกแจ้งอายัดไว้ ส่วนใบคู่มือการจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.2 ก็เป็นใบคู่มือการจดทะเบียนรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียน ลำพูน ฆ-9054 ซึ่งร้านลิ้มเม่งจั๊ว อำเภอหางดง โดยนางสาวรุ่งทิวาเป็นผู้มอบให้แก่นางสาวยิ่งพันธ์ผู้ที่ซื้อรถจักรยานยนต์คันหมายเลขทะเบียนลำพูน ฆ-9054 ไปจากร้านลิ้มเม่งจั๊ว แต่นางสาวยิ่งพันธ์ได้ทำตกหายไปและได้แจ้งอายัดไว้ที่แผนกทะเบียนยานพาหนะจังหวัดลำพูนอีกด้วย เจ้าหน้าที่แผนกทะเบียนยานพาหนะดังกล่าวจึงแจ้งให้นางสุธรรมทราบแล้วยึดรถจักรยานยนต์ไว้ และแจ้งให้ร้อยตำรวจตรีสัณห์มารับรถคันดังกล่าว ยึดไว้เป็นของกลางคดีนี้ นางสุธรรมรับโอนทะเบียนไม่ได้ก็แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ จำเลยที่ 3 ได้จัดการหารถจักรยานยนต์คันใหม่มอบให้นางสุธรรมแทนรถของกลาง ต่อมาจำเลยที่ 3 ถูกจับดำเนินคดีเป็นคดีนี้ มีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 3มีความผิดฐานรับของโจรตามที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ เห็นควรวินิจฉัยในเบื้องแรกเสียก่อนว่า ที่จำเลยที่ 1 ได้นำรถของกลางไปขายให้บริษัทเจริญมอเตอร์ จำกัด นั้น จำเลยที่ 3 เป็นผู้ตรวจและรับซื้อรถด้วยตนเองหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุกิจ นาแก้ว เบิกความว่า เป็นผู้จับจำเลยทั้งสามและได้ทำบันทึกจับกุมไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ในเอกสารหมาย จ.5 มีข้อความระบุไว้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ได้นำรถของผู้เสียหายมาขายให้แก่บริษัทเจริญมอเตอร์จำกัด โดยมี "นายสมชาย สุขสมัย" ผู้จัดการฝ่ายขายเป็นผู้รับซื้อไว้ นอกจากนี้โจทก์มีร้อยตำรวจตรีสัณห์เบิกความยืนยันว่า ได้สอบสวนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในข้อหารับของโจรตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.12 ซึ่งจำเลยที่ 1 ให้การไว้ชัดว่า ได้นำรถของผู้เสียหายมาขายให้ "นายสมชายไม่ทราบนามสกุลที่ร้านเอสวีร่วมทุน จำกัด" ฝ่ายจำเลยที่ 3 คงมีตนเองแต่ผู้เดียวเบิกความว่าบริษัทเอสวีร่วมทุน จำกัด ได้รับซื้อรถของกลางจากจำเลยที่ 1 และพนักงานฝ่ายขายเป็นผู้รับซื้อไว้ หาได้ปฏิเสธหรือนำสืบหักล้างเกี่ยวกับคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจสุกิจและร้อยตำรวจตรีสัณห์ตลอดจนเอกสารหมาย จ.5 กับ จ.12 ว่าไม่เป็นความจริงแต่ประการใดไม่ ยิ่งไปกว่านี้ที่จำเลยที่ 3 เบิกความว่า พนักงานฝ่ายขายเป็นผู้รับซื้อไว้ก็หาได้นำพนักงานผู้นั้นมาเบิกความสนับสนุนไม่และปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ได้เบิกความตอบคำถามค้านของโจทก์ได้ความชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้นำรถของกลางมาขายให้จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้รับซื้อไว้จากจำเลยที่ 1 ดังนั้นถึงแม้ว่าเอกสารหมายจ.5 และ จ.12 เป็นบันทึกจับกุมกับบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนและจำเลยในชั้นศาลด้วยกันกับจำเลยที่ 3 ก็ตาม ในเมื่อโจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุกิจกับร้อยตำรวจตรีสัณห์ผู้ทำเอกสารดังกล่าวมาเบิกความประกอบโดยจำเลยที่ 3 ไม่นำสืบหักล้าง ทั้งยังเบิกความรับดังกล่าว ย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3เป็นผู้รับซื้อรถของกลางไว้ด้วยตนเอง และได้ความจากคำของจำเลยที่ 3 เองอีกว่าในวันที่จำเลยที่ 1 นำรถของกลางมาขายให้นั้นจำเลยที่ 3 ได้ตรวจดูใบคู่มือการจดทะเบียนและชุดโอนแล้วสำหรับชุดโอนนั้นเป็นชุดโอนลอย และจำเลยที่ 1 ได้มอบชุดโอนตามเอกสารหมาย จ.3 ให้ไว้อีกด้วย แสดงว่านอกจากจำเลยที่ 3เป็นผู้รับซื้อไว้ด้วยตนเองแล้ว ยังเป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานของรถของกลางด้วยเช่นกัน ปัญหาต่อไปว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ขายและมอบรถของกลางพร้อมเอกสารหมาย จ.2, จ.3 ให้กับนางสุธรรมไปจริงหรือไม่ โจทก์มีนางสุธรรมเบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ขายและออกใบเสร็จรับเงินกับออกบัตรบริการตรวจเช็คฟรีตามเอกสารหมายจ.1 ทั้งได้มอบใบคู่มือการจดทะเบียนกับเอกสารชุดโอนเอกสารหมายจ.2, จ.3 ให้ไปจัดการโอนเอาเอง และเมื่อนางสุธรรมไปโอนทะเบียนไม่ได้ นางสุธรรมก็กลับมาแจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ จำเลยที่ 3จึงมอบเอกสารหมาย จ.4 ให้นางสุธรรมนำไปแสดงต่อนายทะเบียนยานพาหนะจังหวัดลำพูน ฝ่ายจำเลยที่ 3 นำสืบโดยมีตนเองเบิกความแต่ผู้เดียวว่า บริษัทเอสวีร่วมทุน จำกัด ได้ขายรถของกลางให้แก่นางสุธรรม แต่หาได้นำผู้มีอำนาจทำการแทนของบริษัทดังกล่าวมาเบิกความสนับสนุนไม่ จำเลยที่ 3 ยังรับอีกว่านางสุธรรมได้มาแจ้งให้ทราบว่าโอนทะเบียนไม่ได้ ส่วนที่อ้างว่าได้รับมอบหมายจากบริษัทเอสวีร่วมทุน จำกัด ซึ่งมีนางสุรีย์พรเป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทนให้ จำเลยที่ 3 ไปตรวจสอบถึงปัญหาที่โอนทะเบียนไม่ได้จำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้นำนางสุรีย์พรมาเบิกความประกอบ คำของจำเลยที่ 3 จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานโจทก์ดังกล่าวกรณีฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 เป็นผู้ขายและมอบรถของกลางพร้อมเอกสารหมาย จ.2, จ.3 ให้นางสุธรรมจริง ฉะนั้นในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่ารถของกลางเป็นของผู้เสียหายซึ่งหมายเลขเครื่องกับเลขตัวถังรถไม่ตรงกับใบคู่มือการจดทะเบียนเอกสารหมาย จ.2 แต่ตรงกับทะเบียนรถของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ทั้งในเอกสารดังกล่าวกับเอกสารหมาย จ.3 มีชื่อของนางสาวยิ่งพันธ์ ระวิวัฒน์ เป็นเจ้าของซึ่งทำตกหายไป โดยวิสัยของจำเลยที่ 3 ต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องรับซื้อขายรถจักรยานยนต์เป็นอย่างดี ย่อมไม่มีเหตุที่จะอ้างได้ว่าได้รับซื้อและขายรถของกลางโดยไม่รู้ว่าเป็นรถที่ถูกลักมา แม้จำเลยที่ 3 จะอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของบริษัทที่นำเอาป้ายวงกลมของรถคันอื่นมาติดกับรถของกลาง ซึ่งทางบริษัทได้ถ่ายสำเนาทะเบียนของรถคันที่ติดผิดไปก็ตามหาใช่ความสำคัญที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ไม่ พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 ได้รับซื้อและขายรถของกลางโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ถูกคนร้ายลักมาถึงแม้จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำในนามของบริษัทเจริญมอเตอร์ จำกัดหรือบริษัทเอสวีร่วมทุน จำกัด ในฐานะที่จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างก็ตาม ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการรับซื้อไว้และช่วยจำหน่ายซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานรับของโจร..."
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.