โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 90, 358, 362, 365 (2)
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นโดยโจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้ฎีกาโต้เถียงกันเป็นอย่างอื่นว่า พนักงานอัยการประจำศาลแขวงนนทบุรีได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสามคดีนี้เป็นจำเลยต่อศาลแขวงนนทบุรีในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ และคดีดังกล่าวศาลแขวงนนทบุรีพิพากษายกฟ้องตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 462/2545 และคดีที่สุดแล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสามในคดีนี้และคดีก่อนเป็นความผิดคนละตอนคนละเจตนากัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 462/2545 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า คดีดังกล่าวพนักงานอัยการโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามทำให้เสียทรัพย์บ้านพิพาทในคดีนี้ ส่วนคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2543 เวลาประมาณ 13 นาฬิกา จำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ซึ่งบ้านพิพาทหลังเดียวกันและการบุกรุกก็เป็นการบุกรุกเข้าไปเพื่อรื้อถอนบ้านพิพาทในวันเดียวกัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสามในความผิดทั้งสองคดีจึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องไม่ขาดตอน อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ดังนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามที่โจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้และคดีก่อนเป็นการกระทำอันเดียวกัน ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 462/2545 ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยเพียงว่า นายทวีเดช โจทก์มิใช่เป็นผู้ได้รับความเสียหาย จึงมิใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจร้องทุกข์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน การสอบสวนของพนักงานสอบสวนจึงเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คดีดังกล่าวศาลพิพากษายกฟ้อง โดยยังมิได้วินิจฉัยถึงการกระทำของจำเลยทั้งสามตามข้อกล่าวหาของโจทก์ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยในความผิดซึ่งได้ฟ้อง อันจะเป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่ระงับสิ้นไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (4) ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้โจทก์มิได้ยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีมานั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และเมื่อฟังว่าฟ้องโจทก์คดีนี้ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ในข้อต่อมาที่ว่าจำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นสมควรให้การวินิจฉัยเป็นไปตามลำดับชั้นศาล จึงให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบมาตรา 225
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี