โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 4, 6, 15, 27, 28, 29, 30, 31, 61, 70, 73, 74, 75, 76 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 90, 91 ให้จำเลยทั้งสามหยุดการใช้และเผยแพร่ภาพถ่ายงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ และให้จำเลยทั้งสามจ่ายค่าปรับฐานละเมิดลิขสิทธิ์กึ่งหนึ่งให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา หมายเรียกจำเลยทั้งสามมาให้การในวันเดียวกับวันนัดพร้อม ให้โจทก์นำส่งหมายภายใน 7 วัน การส่งหมายหากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย โดยให้นัดพร้อมในวันที่ 17 ธันวาคม 2555 เวลา 9.30 นาฬิกา โจทก์รับทราบคำสั่งศาลดังกล่าวนี้แล้วตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 ตุลาคม 2555
ต่อมาวันที่ 12 ธันวาคม 2555 เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่า ตามที่ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกแก่จำเลยทั้งสามภายใน 7 วัน นั้น บัดนี้ล่วงเลยระยะเวลาที่ศาลมีคำสั่งแล้ว โจทก์มิได้นำส่งหมายแต่อย่างใด ขอให้ศาลมีคำสั่ง ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีของโจทก์นั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า แม้ทนายจำเลยที่ 1 และทนายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ทราบวันนัดพร้อมตามคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางแล้วก็ตาม แต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 ตุลาคม 2555 ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า คดีของโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาหมายเรียกจำเลยทั้งสามมาให้การในวันเดียวกับวันนัดพร้อม และให้โจทก์นำส่งหมายภายใน 7 วัน นั้น โจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวตามที่โจทก์ได้ลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณานั้นแล้ว ซึ่งการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งให้ออกหมายเรียกจำเลยทั้งสามมานั้น นอกจากจะเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 แล้ว ยังเป็นการปฏิบัติตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ด้วย และการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้โจทก์นำส่งหมายเรียกให้จำเลยทั้งสามก็เป็นการสั่งให้โจทก์ซึ่งเป็นคู่ความปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 70 วรรคสอง บัญญัติไว้ โจทก์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายดังกล่าวที่จะต้องดำเนินคดีต่อไปภายในกำหนดเวลาที่ศาลกำหนดไว้นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า โจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลที่กำหนดเวลาให้โจทก์นำส่งหมายให้จำเลยทั้งสามดังกล่าวแล้ว โจทก์ไม่ดำเนินคดีภายในกำหนดเวลานั้น กรณีก็ต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยชอบตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 (2) อันเป็นการทิ้งฟ้อง ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและสั่งจำหน่ายคดีของโจทก์เสียจากสารบบความ จึงชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 (1)
พิพากษายืน