โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 135/1, 135/2, 210, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 4, 7, 8 ทวิ, 38, 55, 72, 72 ทวิ, 74, 78 และนับโทษจำคุกจำเลยต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 943/2561 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) วรรคหนึ่ง, 135/2 (2), 210 วรรคสอง (เดิม), 289 (2) (4) ประกอบมาตรา 80 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 38 วรรคหนึ่ง, 55, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง, 74, 78 วรรคหนึ่ง, วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ฐานร่วมกันใช้อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้พยายามฆ่าเจ้าพนักงานและฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อนเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันรู้ว่ามีผู้ก่อการร้ายแล้วปกปิดไว้ จำคุก 3 ปี ฐานซ่องโจร จำคุก 3 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกกระทงละ 1 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ส่วนคำขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 943/2561 หมายเลขแดงที่ 3758/2561 ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวศาลมิได้ลงโทษจำคุกจำเลย จึงนับโทษต่อไม่ได้ คำขอนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า ในจังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และบางอำเภอของจังหวัดสงขลา มีคณะบุคคลที่ใช้ชื่อว่า "ขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานี" ซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมาย โดยต้องการแบ่งแยกราชอาณาจักรไทยและยึดอำนาจปกครองในจังหวัดดังกล่าวแล้วจัดตั้งเป็นประเทศหรือรัฐขึ้นใหม่ที่มีอำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง ด้วยการใช้กำลังประทุษร้าย ฆ่า พยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชน สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน รับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการและสมคบกันก่อการร้าย อันก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง และสร้างความปั่นป่วนให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันขุดเจาะใต้พื้นถนนสายบาละ-คลองชิง แล้วนำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเองไปซุกซ่อนไว้แล้วรอจุดชนวนระเบิดเพื่อฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนที่ขับรถผ่านมา และมีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงสิบตำรวจเอกปรีชา ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรกาบัง ขณะปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชากับพวกอีก 3 คน ซึ่งเป็นราษฎรและเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานในการสืบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดที่นำวัตถุระเบิดแสวงเครื่องดังกล่าวไปวางไว้บริเวณใต้พื้นถนนสายบาละ-คลองชิง หลายนัด หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตรวจยึดวัตถุพยานเป็นของกลางรวม 57 รายการ ผลการตรวจพิสูจน์ชิ้นส่วนแบตเตอรี่ เศษชิ้นส่วนพลาสติก แผงวงจรวิทยุสื่อสาร สายไฟอ่อน และเศษเหล็กเส้นตัดเป็นท่อนของกลาง ปรากฏว่าเป็นเศษชิ้นส่วนของวัตถุระเบิดแสวงเครื่องซึ่งเป็นวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 หรือไม่ เห็นว่า จำเลยให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนและผู้ดำเนินกรรมวิธีซักถามในฐานะผู้ให้ถ้อยคำหรือผู้ถูกดำเนินการมิใช่คำให้การของผู้ถูกจับที่ให้ไว้ก่อนชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเพราะขณะนั้นจำเลยยังไม่ได้ถูกจับกุม กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ คำรับและถ้อยคำอื่นของจำเลยจึงไม่ต้องห้ามรับฟังตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ทั้งการสอบปากคำโดยพนักงานสอบสวนและผู้ดำเนินกรรมวิธีซักถามก็เป็นการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่โดยชอบ และเป็นการสอบปากคำจำเลยในเบื้องต้นเท่านั้น บันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบบันทึกการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ บันทึกคำให้การของจำเลย และผลการดำเนินกรรมวิธี จึงเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นและได้มาโดยชอบ นอกจากนั้นจำเลยยังให้ถ้อยคำและนำเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจยึดอาวุธปืนและเสบียงอาหารที่ซุกซ่อนไว้ที่ภูเขากูวิง ข้าวสาร ปลากระป๋อง และซองกระสุนปืนที่ฝังดินไว้ที่ภูเขาบ้านคลองทุเรียน ซึ่งหากจำเลยมิได้ให้ถ้อยคำดังกล่าวจริง พนักงานสอบสวนและผู้ดำเนินกรรมวิธีซักถามคงไม่สามารถบันทึกข้อความขึ้นมาเองได้เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในความรู้เห็นของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว จึงเชื่อว่าจำเลยให้ถ้อยคำด้วยความสมัครใจและมีการอ่านข้อความในเอกสารดังกล่าวให้จำเลยฟังแล้วก่อนให้จำเลยลงลายมือชื่อ จึงหาเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบดังที่จำเลยฎีกาไม่ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักมั่นคงที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่าอ้างฐานที่อยู่ก็มีแต่จำเลยและนางลีเมาะ มารดาจำเลยเป็นพยานจึงเป็นการง่ายต่อการกล่าวทั้งในวันที่จำเลยถูกจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจก็พานางลีเมาะไปด้วยนางลีเมาะจึงเป็นพยานรู้เห็นการกระทำของเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่มีเหตุที่เจ้าพนักงานตำรวจจะกล้าทำร้ายจำเลย จำเลยได้รับความคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานแต่จำเลยไม่ได้ให้การอ้างฐานที่อยู่กลับยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา จึงเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่จำเลยไม่ได้ให้การเป็นข้อพิรุธไม่มีน้ำหนักให้รับฟังพยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยกับพวกประมาณ 10 คน เป็นสมาชิกของขบวนการกู้ชาติรัฐปัตตานีซึ่งมีพฤติการณ์กระทำความผิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยทำการก่อการร้ายใช้กำลังประทุษร้ายและฆ่าเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนในพื้นที่ เผาโรงเรียนวางระเบิดสถานที่ราชการ ร้านค้าและที่ชุมนุมชนต่าง ๆ อันเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และจำเลยรู้อยู่แล้วว่ามีผู้จะก่อการร้ายแต่จำเลยไม่แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบเพื่อป้องกันและระงับเหตุก่อการร้ายและร่วมกันครอบครองวัตถุพยานของกลางทั้งหมด เมื่อผู้เสียหายกับพวกพบการกระทำความผิดของจำเลยกับพวก จำเลยกับพวกได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกแต่กระสุนปืนที่จำเลยกับพวกยิงไปนั้นไม่ถูกผู้เสียหายกับพวก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร ฐานสมคบกันเพื่อก่อการร้าย ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายกับพวก แต่ผู้เสียหายได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบสายไฟอยู่ข้างถนนที่เกิดเหตุสงสัยว่าจะเป็นสายไฟจุดระเบิด ผู้เสียหายกับพวกจึงร่วมกันไปตรวจสอบที่เกิดเหตุจึงพบจำเลยกับพวกอยู่ที่ป่าละเมาะใกล้ลำธารบางคนนั่ง บางคนนอนที่พื้น บางคนนอนที่เปลแล้วผู้เสียหายกับพวกถูกพวกจำเลยยิงแสดงว่าจำเลยกับพวกไม่อยู่ในลักษณะที่จะใช้วัตถุระเบิดแสวงเครื่องฆ่าผู้เสียหายกับพวกและได้ความจากพันตำรวจโทบุรี พนักงานสอบสวนเบิกความว่า จำเลยให้ถ้อยคำว่าจำเลยกับพวกประชุมวางแผนวางระเบิดฆ่านายยะฟาร์ แต่นายยะฟาร์ไม่ผ่านมาที่เกิดเหตุจึงได้ถอดชนวนระเบิดออก จำเลยกับพวกจึงไม่มีเจตนาใช้วัตถุระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเองที่ซุกซ่อนไว้ดังกล่าวทำให้เกิดระเบิดเพื่อฆ่าผู้เสียหายกับพวก จำเลยกับพวกจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ฆ่าเจ้าพนักงานที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวกเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นเห็นว่า ในวันเกิดเหตุผู้เสียหายได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบสายไฟอยู่ข้างถนนที่เกิดเหตุสงสัยว่าเป็นสายไฟจุดระเบิด ผู้เสียหายกับพวกจึงเดินทางไปตรวจสอบ เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบจำเลยกับพวกจำเลยกับพวกจึงร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายกับพวก โดยจำเลยกับพวกไม่ทราบมาก่อนจึงเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทันด่วนที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเอง การกระทำของจำเลยกับพวกจึงมิใช่เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยกับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่และพวกของผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานที่กระทำตามหน้าที่อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) (3) ประกอบ มาตรา 80, 83 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ลงโทษจำเลยฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) (4) ประกอบมาตรา 80, 83 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังขึ้น เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงพวกผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานที่กระทำตามหน้าที่จึงต้องปรับบทความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (3) ด้วย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ได้ปรับลงโทษดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องและกรณีดังกล่าวไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง ซึ่งแม้ยกขึ้นวินิจฉัยปรับบทความผิดได้ แต่ไม่อาจกำหนดโทษแก่จำเลยได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย โดยที่โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยให้
อนึ่ง ฟ้องโจทก์ข้อ 2.4 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันประกอบทำและมีวัตถุระเบิดแสวงเครื่องที่ประกอบขึ้นเองเป็นระบบไฟฟ้า ควบคุมจากระยะไกลเป็นสวิตช์จุดระเบิดใช้โซเดียมคลอเรต ผสมร่วมกับวัตถุระเบิดแรงสูงชนิดแอนโฟร์ดัดแปลงเป็นดินระเบิดหลัก ใช้วัตถุระเบิดแรงสูงเป็นดินขยายระเบิด ใช้เหล็กเส้นตัดท่อนดัดแปลงเป็นสะเก็ดระเบิดประกอบรวมกันไว้ในภาชนะถังน้ำยาเคมีดับเพลิงดัดแปลง 1 ลูกซึ่งนายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 55, 78 วรรคหนึ่ง แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ยังพิพากษาเพิ่มเติมว่าเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 38 วรรคหนึ่ง, 74 อีกด้วยอันเป็นบทมาตราที่เป็นวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตได้ซึ่งเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ฟ้อง และเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นองค์ประกอบความผิดของพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 38 แม้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 38, 74 ซึ่งเป็นบทความผิดและบทลงโทษมาด้วย ศาลก็ลงโทษจำเลยในความผิดตามมาตราดังกล่าวไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยว่ามีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 38 วรรคหนึ่ง, 74 มาด้วยนั้น จึงเป็นการพิพากษาในข้อที่มิได้กล่าวมาในฟ้องและเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ จึงไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและวรรคสี่ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ส่วนความผิดข้อหาร่วมกันเป็นซ่องโจรกับข้อหาร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย เห็นว่า ความผิดข้อหาร่วมกันเป็นซ่องโจรเป็นความผิดสำเร็จเมื่อมีการสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และเมื่อผู้กระทำความผิดได้สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สิน ให้หรือรับการฝึกการก่อการร้ายหรือกระทำการอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 135/2 (2) จึงเป็นความผิดข้อหาร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย เมื่อจำเลยมีเจตนาเดียวในการกระทำความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าว อีกทั้งวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับการกระทำความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวเป็นวันเวลาและสถานที่เดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท มิใช่หลายกรรมต่างกัน ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามา ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่และผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานที่กระทำตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) (3) ประกอบมาตรา 80, 83 ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 55, 78 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ยกฟ้องความผิดฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม และไม่ปรับบทว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 38 วรรคหนึ่ง, 74 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายและฐานร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานและผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานที่กระทำตามหน้าที่ เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรและฐานร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้ายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี ถ้อยคำรับของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยกระทงละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันก่อการร้ายโดยใช้กำลังประทุษร้ายจำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย จำคุก 2 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนที่เป็นของผู้อื่นซึ่งได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ตามกฎหมายและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุกกระทงละ 8 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้วจำคุก 35 ปี 20 เดือน ข้อหาและคำขออื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9