โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91, 288, 289 (4), 295
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), 80 (ที่ถูก มาตรา 289 (4) และมาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้ประหารชีวิต ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้จำคุกตลอดชีวิต คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 52 (1) และ 53 ตามลำดับ) ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน คงจำคุกตลอดชีวิต ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนคงจำคุก 33 ปี 4 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุกตลอดชีวิตสถานเดียว
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 60 การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 288 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 20 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยโจทก์จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายนิเวศน์ ทองสัมฤทธิ์ ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์พานายโสรถหรือเตี้ย แสนทวีสุข ผู้ตายไปส่งบ้าน ซึ่งผ่านซอยแคบมีความกว้างประมาณ 1.5 เมตร สองข้างทางเป็นกำแพงปูนและรั้วบ้าน ขณะรถจักรยานยนต์แล่นไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งหักข้อศอกไปทางซ้ายห่างจากบ้านผู้ตายประมาณ 50 เมตร ผู้เสียหายชะลอความเร็วของรถลงขณะเลี้ยวซ้าย จำเลยซึ่งยืนอยู่ริมรั้วบ้านจำเลยด้านซ้ายของถนนได้ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายและผู้ตายโดยมีเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายและผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงถูกผู้เสียหายเป็นการกระทำโดยพลาดหรือไม่ เห็นว่า แม้ซอยที่เกิดเหตุจะมีความกว้างเพียงประมาณ 1.5 เมตร แต่เมื่อพิเคราะห์ความกว้างและสภาพซอยที่เกิดเหตุตามภาพถ่ายการนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพของจำเลยแล้วจะเห็นว่าซอยดังกล่าวมิได้คับแคบถึงขนาดที่จะทำให้จำเลยอยู่ในที่บังคับไม่อาจแทงคนบนรถจักรยานยนต์ได้ถนัด ในเรื่องเกี่ยวกับแสงสว่าง ผู้เสียหายเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า แม้ไม่อาศัยแสงสว่างจากไฟหน้ารถจักรยานยนต์ก็สามารถมองเห็นกันชัดเจนและจำกันได้ในระยะ 2 เมตร และผู้เสียหายได้ตอบโจทก์ถามติงว่าเมื่อผู้เสียหายวิ่งหนีไปได้ประมาณ 10 เมตร แล้วหันกลับไปมองเห็นจำเลยก็โดยอาศัยแสงสว่างจากดวงไฟฟ้าใกล้บ้านที่เกิดเหตุซึ่งเปิดสว่างอยู่ จึงเชื่อว่าจำเลยสามารถเห็นผู้เสียหายและผู้ตายได้ในขณะเกิดเหตุ แม้จะได้ความจากผู้เสียหายว่าผู้เสียหายไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยยืนอยู่ริมรั้วบ้านด้านซ้ายก่อนเกิดเหตุ เมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้ตายซึ่งได้ความจากผู้เสียหายว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนนั่งซ้อนท้ายแล่นไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งหักข้อศอกไปทางซ้าย ผู้เสียหายได้ชะลอความเร็วของรถจักรยานยนต์ขณะเลี้ยวซ้าย จำเลยได้ใช้จังหวะที่ผู้เสียหายชะลอความเร็วของรถใช้มีดแทงผู้เสียหายในทันที จำเลยมีจังหวะและเวลาที่จะแทงคนขับหรือคนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ได้ เพราะขณะนั้นรถจักรยานยนต์มิได้แล่นด้วยความเร็วถึงขนาดจะบังคับให้จำเลยต้องรีบแทงคนที่อยู่บนรถจักรยานยนต์ การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์ก่อน จึงเป็นการกระทำที่ประสงค์ให้รถจักรยานยนต์หยุด เพื่อจำเลยจะได้แทงทำร้ายผู้ตายได้โดยที่ผู้ตายไม่สามารถซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนี ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาแทงผู้เสียหายและผู้ตายโดยกระทำการต่อเนื่องกัน อันถือได้ว่ามีเจตนาฆ่าคนทั้งสองในคราวเดียวกัน จึงมิใช่เป็นการกระทำโดยพลาดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของโจทก์มีว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือสองกรรม โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์เป็นการกระทำกรรมหนึ่งที่จำเลยได้ลงมือกระทำผิดไปแล้ว เมื่อรถจักรยานยนต์ล้มผู้เสียหายลุกขึ้นวิ่งหนีไป จำเลยจึงใช้มีดแทงผู้ตายซึ่งนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ การแทงผู้ตายในครั้งหลังจึงเป็นการกระทำคนละครั้งคนละเวลากันกับได้กระทำต่อบุคคลต่างคนกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรม เห็นว่า จำเลยได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายแล้วจึงใช้มีดแทงผู้ตายในทันทีทันใดในเวลาต่อเนื่องกัน โดยจำเลยมีเจตนามุ่งประสงค์ที่จะต้องการฆ่าผู้ตาย แต่เหตุที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายที่มากับผู้ตายก่อนเนื่องจากผู้เสียหายเป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้ตายนั่งซ้อนท้าย จำเลยประสงค์จะให้รถจักรยานยนต์หยุดเพื่อจะได้มีโอกาสแทงทำร้ายผู้ตายได้ต่อไป โดยที่ผู้ตายไม่สามารถซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนี จึงเห็นเจตนาได้ว่าจำเลยประสงค์จะแทงทำร้ายทั้งผู้เสียหายและผู้ตายในคราวเดียวกัน แม้จะเป็นการกระทำสองหนและต่อบุคคลสองคนก็อยู่ในเจตนาอันเดียวกันนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยกระทำความผิดต่อผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่ เห็นว่า ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ไม่ได้ความว่าจำเลยยืนถือมีดเตรียมดักรอผู้ตายอยู่ตรงที่เกิดเหตุเพื่อแทงผู้ตายตั้งแต่เมื่อใด ข้อเท็จจริงรับฟังได้จากผู้เสียหายซึ่งเบิกความเป็นพยานโจทก์เพียงว่าเมื่อผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์โดยมีผู้ตายนั่งซ้อนท้ายไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นทางโค้งหักข้อศอกไปทางซ้าย ผู้เสียหายชะลอความเร็วของรถลงขณะเลี้ยวซ้าย จำเลยซึ่งยืนอยู่ริมรั้วบ้านจำเลยด้านซ้ายของถนนได้ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหายและผู้ตายในทันที ทั้งสถานที่เกิดเหตุก็อยู่บริเวณหน้าบ้านของจำเลย หากจำเลยได้มีการไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อจะแทงทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตายก็สามารถไปดักทำร้ายผู้ตาย ณ สถานที่อื่นซึ่งลับตาคนได้เพื่อมิให้มีผู้รู้เห็น ได้ความจากนายมงคลชัย แสนทวีสุข พี่ชายผู้ตายประกอบแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุว่าบ้านของจำเลยและบ้านของผู้ตายอยู่ห่างกันประมาณ 100 เมตรเท่านั้น จึงไม่เป็นการยากที่จำเลยจะติดตามไปคอยฆ่าผู้ตายได้โดยมิให้ผู้อื่นรู้เห็น แม้จะได้ความจากผู้เสียหายว่าจำเลยและผู้ตายเคยมีเหตุทะเลาะกันเนื่องจากผู้ตายเมาสุราแล้วขึ้นไปนอนกับภริยาจำเลยบนบ้านจำเลย ก็ได้ความว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นมานานถึง 4 ถึง 5 เดือนแล้ว หากจำเลยประสงค์จะฆ่าผู้ตายด้วยสาเหตุดังกล่าวก็สามารถกระทำได้ก่อนเกิดเหตุนานแล้ว เพราะคนทั้งสองมีบ้านอยู่ใกล้กัน พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดต่อผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และ 288 ประกอบมาตรา 80 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2