คดีนี้ สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องจำเลยว่าได้ครอบครองที่ดินรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทดังกล่าวเป็นของโจทก์ จำเลยให้การว่าไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อมา โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ ตกลงกันได้และทำสัญญาประนีประนอมต่อศาลและศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามสัญญาประนีประนอมแล้ว
ระหว่างการบังคับคดี โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่าการรังวัดที่พิพาทมิได้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๔ คัดค้านว่าเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดถูกต้องตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์ จำเลยไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความและตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ ภายใน ๓๐ วัน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์รับว่า ที่ได้ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อต้องการที่ดินในส่วนที่ฝ่ายจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ให้ได้กลับคืน พิเคราะห์สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับฝ่ายจำเลย ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๖ ที่ฝ่ายจำเลยยอมให้โจทก์ได้รับที่ดินเพิ่มขึ้น ๗ ตารางวา และให้ฝ่ายจำเลยเป็นผู้เสียสละที่ดินตามเนื้อที่ดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว ย่อมถือว่าเป็นการสมประโยชน์ตามที่โจทก์ฟ้อง โดยไม่คำนึงว่าที่ดินของโจทก์หรือที่ดินของฝ่ายจำเลยจะมีที่ดินอยู่เดิมเท่าใด แม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความจะให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดที่ดินฝ่ายจำเลยให้เหลือเนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๔๕ วา ก็เป็นเพียงปริมาณการของที่ดินฝ่ายจำเลยไว้เท่านั้นมิฉะนั้นการให้เจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดแบ่งแยกที่ดินตามสัญญาประนีประนอมยอมความ คงไม่อาจมีขึ้นและไม่อาจยุติได้ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ทั้งตามฎีกาของโจทก์ไม่ปรากฏว่าการรังวัดดังกล่าวทำให้จำเลยได้ที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นเนื้อที่เท่าใดหรือไม่ คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองที่ให้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน