คดีนี้  มูลคดีสืบเนื่องมาจากจำเลยต้องโทษจำคุกฐานรับของโจรมีกำหนด ๔ เดือน  นับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๔  ครั้นวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๔  จำเลยหลบหนีการคุมขังและถูกจับตัวในวันรุ่งขึ้น  จึงได้ถูกนำตัวมาฟ้องคดีนี้  จำเลยให้การรับสารภาพ  ศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย ๔ เดือน  โดยให้นับโทษต่อจากคดีอาญาแดงที่ ๓๖๘/๒๕๐๔ แต่จำเลยต้องขังมาแล้ว ๕๑ วัน  ให้หักออกเสีย
โจทก์ยื่นคำร้องคัดค้าน  ขอให้แก้หมายจำคุกใหม่  โดยไม่หักวันต้องขัง ๕๑ วัน  ให้จำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามหมายจำคุก ๔ เดือน  นับแต่วันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๐๔  หากจำเลยต้องโทษจำคุกตลอดมาก็จะครบกำหนดโทษวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๐๔  แต่จำเลยหลบหนีไปก่อนครบกำหนดโทษเมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๔  และถูกจับในวันรุ่งขึ้น  ฉะนั้น โทษจำคุกคดีเดิมจึงต้องเลื่อนวันครบกำหนดโทษไปอีก ๑ วัน  ซึ่งถ้าหากจำเลยไม่ต้องคำพิพากษาในคดีนี้แล้ว  จำเลยก็จะได้รับการปลดปล่อยในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๔    ฉะนั้น  โทษจำคุกตามคำพิพากษาในคดีนี้แล้ว  จำเลยก็จะได้รับการปลดปล่อยในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๔  ฉะนั้น โทษจำคุกตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีนี้ซึ่งได้นับโทษต่อจากวันพ้นโทษในคดีเดิมจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ เป็นต้นมา  จำเลยต้องคำพิพากษาให้จำคุกในคดีนี้ ๔ เดือน  จึงครบกำหนดในวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๐๕  แต่ถ้าหากถือตามหมายจำคุกของศาลชั้นต้นที่ให้หักวันต้องขังให้จำเลย ๕๑ วัน  และให้นับโทษต่อจากวันพ้นโทษในคดีเดิมด้วยแล้ว  แทนที่จำเลยจะต้องจำคุก ๔ เดือนหรือ ๑๒๐ วันตามคำพิพากษา  เมื่อหักเสีย ๕๑ วันแล้ว  จำเลยคงต้องจำคุกเพียง ๖๙ วัน  เท่านั้น  และวันครบกำหนดโทษจำคุกของจำเลยจะร่นเข้ามาเป็นวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๔  แทนที่จะเป็นวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๐๔   ฉะนั้น  การที่ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกให้นับโทษต่อจากวันพ้นโทษในคดีเดิม  และให้หักวันต้องขัง ๕๑ วันให้ด้วยนั้น  จึงยังไม่ถูกต้อง  เพราะเป็นการหักวันต้องขังให้ซ้อนกัน  ถ้าหากศาลชั้นต้นจะหักวันต้องขัง ๕๑ วัน  ซึ่งคิดถึงวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว  ก็ควรจะต้องเริ่มนับโทษจำคุกตั้งแต่วันศาลชั้นต้นพิพากษา  ไม่ใช่นับจากวันพ้นโทษในคดีเดิม
พิพากษากลับ  ให้ศาลชั้นต้นแก้หมายจำคุกจำเลยเสียใหม่  โดยไม่หักวันต้องขัง ๕๑ วันให้