โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญากู้เงินโจทก์ไป  โดยจำเลยที่ ๒ ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันหนี้รายนี้  จำเลยที่ ๑  ไม่ชำระเงินให้โจทก์  ขอให้จำเลยร่วมกันใช้เงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า  ได้กู้เงินไปและยังไม่ได้ชำระจริง
จำเลยที่ ๒  ให้การปฏิเสธว่าไม่เคยทำหนังสือสัญญาค้ำประกันให้โจทก์  ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ของตน
ชั้นชี้สองสถาน  โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ท้ากันเป็นประเด็นข้อแพ้ชนะประเด็นเดียวว่า  ลายเซ็นจำเลยที่ ๒ ในหนังสือสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง  เป็นลายเซ็นคน ๆ เดียวกับที่จำเลยที่ ๒ เซ็นไว้ในใบแต่งทนายหรือไม่  โดยขอให้ศาลส่งเอกสารดังกล่าวไปพิสูจน์ยังกองพิสูจน์หลักฐาน  กรมตำรวจ  โดยตกลงกันให้พิสูจน์แต่เพียงคำว่า  "นางสมหมาย"  เท่านั้น  หากผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นยืนยันหรือเชื่อว่าเป็นลายมือบุคคลคนเดียวกันแล้ว  จำเลยที่ ๒ ยอมแพ้  หากกลับกัน  โจทก์ยอมแพ้
ศาลชั้นต้นดำเนินการตามข้อตกลงของคู่ความ  ผู้เชี่ยวชาญกรมตำรวจตรวจพิสูจน์แล้วเห็นว่าน่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน  ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้จำเลยร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า  ในการที่โจทก์กับจำเลยที่ ๒ ท้ากันให้ส่งเอกสารดังกล่าวไปให้ผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์นั้น  มิได้ระบุตัวผู้เชี่ยวชาญไว้  จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าให้ผู้เชี่ยวชาญของกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ  คนใดคนหนึ่งเป็นผู้ตรวจพิสูจน์ก็ได้  และปรากฏว่าต่อมาศาลชั้นต้นได้มีหนังสือส่งเอกสารไปให้พันตำรวจเอกนิรุช  ไกรฤกษ์  เป็นผู้ตรวจพิสูจน์  จึงถือได้ว่าได้มีการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้ว  เพราะศาลได้ออกคำสั่งกำหนดตัวผู้เชี่ยวชาญให้ทำการพิสูจน์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๙, ๑๒๙
ส่วนที่พันเอกนิรุช  ไกรฤกษ์  มิได้มาเบิกความรับรองรายงานการตรวจพิสูจน์นั้น  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๐  บัญญัติว่า  ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งอาจแสดงความเห็นด้วยวาจาหรือหนังสือก็ได้  แล้วแต่ศาลจะต้องการ ฯลฯ  และกรณีเรื่องนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเรียกให้พันตำรวจเอกนิรุช  ไกรฤกษ์  มาเบิกความหรืออธิบายด้วยวาจาอีก
พิพากษายืน