โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางศิวาพร ศิรินิยม ภรรยาของผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุก 4 ปีคำให้การในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก3 ปี ของกลางริบ
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยได้ใช้จอบของกลางตีสิบตำรวจโทจุณศักดิ์ผู้ตายที่บริเวณศีรษะมีแผลที่ท้ายทอยสมองไหลแผลที่โหนกแก้ม กระดูกใบหน้าแหลกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ พยานโจทก์มีเด็กหญิงนาถนฤมล ศิรินิยม ปากเดียวเบิกความว่า วันเกิดเหตุพยานไปเอาโคกับผู้ตาย ขณะเดินมาตามถนนจำเลยเอาจอบมาสับที่ท้ายทอยของผู้ตาย ผู้ตายล้มลง จำเลยใช้จอบสับอีกหลายทีแล้วหลบหนีไปก่อนถูกตีจำเลยกับผู้ตายไม่ได้ทะเลาะกัน ส่วนพยานจำเลยมีนายทวีศักดิ์หรือเดียน เซ่งขิม และนายจ่าง ช่วยเกลี้ยง เบิกความตรงกันว่า ผู้ตายจูงโคผ่านแปลงผักของจำเลยและผู้ตายกับจำเลยได้พูดโต้ตอบกัน ผู้ตายหยิบจอบที่วางอยู่ที่แปลงผักแล้วไล่ตีจำเลยจำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาสู้กับผู้ตาย จำเลยแย่งจอบได้และตีผู้ตายไป 2 ครั้ง ผู้ตายล้มลง แล้วจำเลยได้หลบหนีไป ปัญหาว่าพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้งสองฝ่ายจะอยู่ในที่เกิดเหตุหรือไม่ เห็นว่า ตามแผนที่เกิดเหตุเอกสารหมาย จ.1 สถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้บ้านผู้ตายและจำเลย และตามคำเบิกความของนายเผิน มีรุ่งเรือง พยานโจทก์ซึ่งกำลังไสกบไม้อยู่บริเวณนั้น แต่มิได้เห็นเหตุการณ์เพราะทำงานอยู่เบิกความว่า นายทวีศักดิ์หรือเดียนไปบอกพยานให้ไปตามญาติผู้ตายให้พาผู้ตายไปโรงพยาบาล พยานจึงไปบอกนายตุ้มหรือพิเชษฐ์และนายพิเชษฐ์ มิตรเปรียญ พยานโจทก์ซึ่งมีบ้านอยู่บริเวณนั้นก็เบิกความตรงกับนายเผินว่า เมื่อนายเผินไปบอกก็ได้ไปที่เกิดเหตุพบผู้ตายและเด็กหญิงนาถนฤมลยืนร้องไห้อยู่จึงไปอุ้มเด็กหญิงนาถนฤมลไปไว้ที่บ้านยายของเด็กหญิงนาถนฤมลแล้วกลับไปที่ศพผู้ตายจนกระทั่งเจ้าพนักงานตำรวจมาตรวจที่เกิดเหตุ จึงเห็นได้ว่าพยานโจทก์และพยานจำเลยต่างอยู่ใกล้ชิดที่เกิดเหตุทั้งนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์และพยานจำเลยแตกต่างกันเฉพาะตอนก่อนที่จำเลยจะตีผู้ตายว่า ผู้ตายกับจำเลยได้มีการทะเลาะโต้เถียงกันและผู้ตายไล่ตีจำเลยหรือไม่ โดยเด็กหญิงนาถนฤมลว่าไม่มีการทะเลาะโต้เถียงกัน แต่เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของเด็กหญิงนาถนฤมลประกอบกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุที่ร้อยตำรวจเอกอาคมสายสมัยได้ไปตรวจและบันทึกไว้ในวันเกิดเหตุตามเอกสารหมาย จ.2ที่ว่า มีข้อสันนิษฐานเบื้องต้นจากการตรวจสถานที่เกิดเหตุและสอบสวนเบื้องต้นว่า ผู้ตายกับจำเลยได้มีการต่อสู้กันระหว่างเกิดเหตุแล้วได้ถูกจำเลยใช้จอบเป็นอาวุธทำร้ายถึงแก่ความตาย ทำให้เห็นได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจได้สอบสวนในเบื้องต้นแล้วได้ความว่ามีการต่อสู้กัน คำเบิกความของเด็กหญิงนาถนฤมลที่ว่าไม่ได้มีการทะเลาะโต้เถียงกันจึงไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นจริงตามนั้น แต่เมื่อพิเคราะห์คำเบิกความของนายทวีศักดิ์หรือเดียนพยานจำเลยประกอบกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวแสดงว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายกับจำเลยมีการโต้เถียงและทะเลาะกันแน่นอน การโต้เถียงและทะเลาะกันนั้นนายทวีศักดิ์หรือเดียนเบิกความว่า เมื่อผู้ตายจูงโคผ่านแปลงผักจำเลย ผู้ตายพูดว่าไม่ไปแจ้งความอีกหรือไปซิไปแจ้งอีกจำเลยพูดว่า อย่าเห็นว่าเป็นตำรวจจะมาข่มเหงกันง่าย ๆ ผู้ตายพูดว่าไอ้เปรตนี้เย็ดแม่ตายกับกูจริง ๆ แล้วผู้ตายได้หยิบจอบไล่ตีจำเลยจำเลยวิ่งหนีแล้วหันมาต่อสู้และแย่งจอบจากผู้ตายได้แล้วตีผู้ตายจึงถือได้ว่าจำเลยตีผู้ตายเพื่อป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่จากบาดแผลที่ตีนั้นด้านท้ายทอยแตกมีสมองไหล และด้านใบหน้ากระดูกแตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แสดงให้เห็นว่าจำเลยตีผู้ตายอย่างแรง การถูกตีอย่างแรงเช่นนี้เพียงครั้งเดียวผู้ตายก็ไม่อาจจะทำร้ายจำเลยได้ต่อไปการที่จำเลยตีซ้ำอีกจึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน