โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีอำนาจรับโฆษณาสินค้า บริการธุรกิจและให้เช่าเวลาทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ นายมานิตย์วรินทรเวช เป็นอธิบดีมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการของโจทก์ จำเลยทำสัญญาเช่าเวลาของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ในสังกัดของโจทก์ในระบบเอฟ.เอ็ม ความถี่ 101.75 เมกะเฮิรตซ์และระบบเอ.เอ็ม. ความถี่ 1602 กิโลเฮิรตซ์ เพื่อออกอากาศในรายการข่าวความรู้และบันเทิง ทุกวันจันทร์ถึงอาทิตย์ ระหว่างเวลา 17 ถึง18 นาฬิกา อัตราค่าเช่าระบบละ 18,650 บาทต่อเดือน ตั้งแต่วันที่1 ตุลาคม 2530 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2531 ตามสัญญาเลขที่ 219 และ220/2530 ซึ่งจำเลยต้องชำระค่าเช่าภายในวันที่ 25 ของเดือนจำเลยปฏิบัติตามสัญญามาตลอดจนถึงงวดเดือนกุมภาพันธ์ 2531เป็นต้นมา จำเลยไม่นำเงินค่าเช่าในระบบเอ.เอ็ม.มาชำระ และในงวดเดือนเมษายน 2531 เป็นต้นมา จำเลยไม่นำเงินค่าเช่าเวลาในระบบเอฟ.เอ็ม. มาชำระ รวมทั้งสองระบบ 14 งวด เป็นเงิน 261,100 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 283,350.58 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้แจ้งบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์แล้วที่บอกเลิกก่อนสัญญาครบกำหนด เพราะรายการของจำเลยที่ออกอากาศมีคลื่นรบกวน รับฟังไม่ได้ชัดเจน จำเลยบอกกล่าวให้โจทก์แก้ไขแล้ว แต่โจทก์ไม่แก้ไขให้ดีขึ้น ไม่สมประโยชน์ของจำเลย จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 283,350.58 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อเดือนกันยายน 2530 จำเลยได้ทำสัญญาเช่าเวลาของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์จากโจทก์ทั้งในระบบเอฟ.เอ็ม.และเอ.เอ็ม. มีระยะเวลาการเช่า 1 ปีตั้งแต่เดือนตุลาคม 2530ถึงเดือนกันยายน 2531 ตามเอกสารหมาย จ.1 และจ.2 ระหว่างสัญญา กำลังส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์ของโจทก์ทั้งสองระบบสามารถรับฟังได้ชัดเจนเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์ ส่วนที่อำเภอลำปลายมาศซึ่งอยู่ห่างประมาณ32 กิโลเมตร อำเภอพุทไธสง อยู่ห่างประมาณ 65 กิโลเมตร และอำเภอประโคนชัยอยู่ห่างประมาณ 44 กิโลเมตรรับฟังไม่ชัดเจน จำเลยจึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา ตามเอกสารหมาย ล.2 ถึง ล.4 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา อันจะทำให้จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยชอบหรือไม่ เห็นว่า ตามสัญญาเช่าเวลาของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์ เอกสารหมาย จ.1และ จ.2 ไม่มีข้อตกลงในรายละเอียดว่าโจทก์ต้องจัดการให้กำลังส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์ทั้งสองระบบดังกล่าวมีกำลังส่งที่ประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ทั้งหมดสามารถรับฟังได้อย่างชัดเจน ข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่าก่อนจำเลยทำสัญญากับโจทก์ เมื่อเดือนมิถุนายน 2530 สภาจังหวัดบุรีรัมย์ได้มีมติให้ปรับปรุงสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์เนื่องจากกำลังส่งกระจายเสียงไม่สามารถที่จะรับฟังได้ทั่วถึงทั้งจังหวัดตามเอกสารหมาย ล.7 และระหว่างทำสัญญาจำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดบุรีรัมย์ ปกติจะต้องไปมาหาสู่เยี่ยมเยียนราษฎรในพื้นที่ซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งเป็นประจำ จำเลยน่าจะรู้ดีว่าแต่ละพื้นที่กำลังส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์สามารถรับฟังได้แค่ไหนเพียงใด ที่จำเลยตกลงเข้าทำสัญญาเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 กับโจทก์ เห็นได้ว่าโจทก์จำเลยมีเจตนาผูกพันกันตามสภาพที่กำลังส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์มีอยู่ในขณะทำสัญญา ดังนั้นการที่กำลังส่งกระจายเสียงของสถานีวิทยุกระจายเสียงจังหวัดบุรีรัมย์ที่จำเลยเช่าจากโจทก์ไม่สามารถส่งกระจายเสียงให้ประชาชนที่อยู่นอกเขตเทศบาลเมืองบุรีรัมย์รับฟังได้ชัดเจนนั้นหาใช่สาระสำคัญถึงขนาดที่จะถือได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิเลิกสัญญาเช่นนี้ แม้จำเลยจะแสดงเจตนาเลิกสัญญาแก่โจทก์ก็หามีผลเป็นการบอกเลิกสัญญาโดยชอบอันจะทำให้สัญญาเลิกกันไม่จำเลยจึงต้องผูกพันตามสัญญาดังกล่าว ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน