โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 มาตรา 4, 15, 31, 70, 75 และ 76 พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 4, 25, 38, 78 และ 79 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33 และ 91 สั่งให้จ่ายค่าปรับกึ่งหนึ่งให้แก่เจ้าของลิขสิทธิ์ ให้แผ่นภาพยนตร์ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของกลางตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ กับริบแผ่นภาพยนตร์จำนวน 26 แผ่นที่ไม่ผ่านการตรวจพิจารณาด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 70วรรคสอง ประกอบมาตรา 31 (1) พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 38, 79 (ที่ถูก มาตรา 79 ประกอบมาตรา 38 วรรคหนึ่ง) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นเพื่อการค้า เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับไม่ปรากฏว่า จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวต่อไป โดยให้รอการกำหนดโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ฐานประกอบกิจการให้เช่าแลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทนโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ลงโทษปรับ 200,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 100,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 ของกลางที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ตามฟ้องให้ตกเป็นของเจ้าของลิขสิทธิ์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า "จำเลยได้บังอาจประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ โดยทำเป็นธุรกิจหรือได้รับประโยชน์ตอบแทน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและไม่ได้ยกเว้นใด ๆ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย" เป็นการนำข้อความในบทบัญญัติมาตรา 38 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวมากล่าวไว้ในฟ้องเท่านั้น ไม่ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดในการกระทำความผิดของจำเลยว่าจำเลยประกอบกิจการให้เช่า หรือแลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์อย่างไร ภาพยนตร์ที่ให้เช่าแลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายนั้นมีลักษณะหรืออยู่ในรูปแบบใด สถานที่ประกอบกิจการอยู่ที่บริเวณใดถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด รวมทั้งข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ กับสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ฟ้องของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
ความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือเสนอจำหน่ายภาพยนตร์ ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 79 ประกอบมาตรา 38 วรรคหนึ่ง นั้น จำเลยต้องเป็นเจ้าของผู้ประกอบกิจการดังกล่าวเท่านั้น ดังนี้ การที่โจทก์นำแต่เพียงข้อความในกฎหมายอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานดังกล่าวมาบรรยายในฟ้องโดยไม่ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลย สถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น และสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตได้ และแม้จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง
คดีนี้โจทก์ยังบรรยายฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจาคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 78 ประกอบมาตรา 25 วรรคหนึ่ง แต่ในคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ปรากฏว่าศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยหรือยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานนี้ แม้จะแปลความหมายตอนท้ายของคำพิพากษาดังกล่าวซึ่งระบุว่า "คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก" ว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางได้พิพากษายกฟ้องในข้อหาความผิดฐานให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ที่ไม่ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ด้วยก็ตาม แต่ปรากฏว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจึงต้องระบุถึงเหตุผลในการตัดสินยกฟ้องในข้อหาความผิดฐานดังกล่าวด้วย ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186 (6) (8) การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้พิพากษาในข้อหาความผิดนี้ จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แม้โจทก์ไม่อุทธรณ์ในเรื่องนี้ แต่เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ และเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาใหม่ ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 45 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1)
การตรวจพิจารณาภาพยนตร์ของคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ก่อนจะอนุญาตให้นำออกฉายให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายในราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง ย่อมหมายถึงการตรวจเนื้อหาของภาพยนตร์ที่บันทึกในวัสดุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟิล์ม ดีวีดี หรือวีซีดี เพื่อไม่ให้มีการเผยแพร่ภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสมออกสู่สาธารณะ แต่ไม่ได้หมายถึงการตรวจตัววัสดุที่บันทึกภาพยนตร์นั้น ๆ ทุกชิ้น ทุกแผ่น ดังนั้น การบรรยายฟ้องในข้อหาความผิดฐานจำหน่ายในราชอาณาจักรซึ่งภาพยนตร์ที่ยังไม่ผ่านการตรวจและอนุญาตจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ อันเป็นความผิดตามมาตรา 78 ประกอบมาตรา 25 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงต้องบรรยายข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่าจำเลยนำภาพยนตร์ใดบ้างที่ไม่ผ่านการตรวจออกฉาย ให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่าย ไม่ใช่บรรยายฟ้องโดยเพียงแต่ระบุจำนวนแผ่นภาพยนตร์เช่นนี้ ฟ้องของโจทก์ในข้อหาความผิดฐานนี้เป็นฟ้องที่มิได้บรรยายถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดของความผิดฐานนี้เท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดฐานนี้ได้ ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางชอบที่จะพิพากษายกฟ้องสำหรับข้อหาความผิดฐานนี้เสียด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์โดยไม่ได้รับใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ.2551 มาตรา 79 ประกอบมาตรา 38 วรรคหนึ่งและข้อหาความผิดฐานให้เช่า แลกเปลี่ยน หรือจำหน่ายภาพยนตร์ที่ไม่ได้ผ่านการตรวจพิจารณาและได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ตามพระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 มาตรา 78 ประกอบมาตรา 25 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง