โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 84,86, 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ริบของกลางอันดับ 7, 8, 22 ส่วนอันดับ 3, 4, 9, 15, 18, 20 คืนเจ้าของ ให้จำเลยร่วมกันคืนทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย หรือมิฉะนั้นให้ชดใช้เงินจำนวน130,900 บาทแก่ผู้เสียหาย นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอื่นของศาลชั้นต้นและศาลจังหวัดนราธิวาส
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14, 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 วางโทษจำคุก 16 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 12 ปี นับโทษของจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 665/2529 ของศาลชั้นต้น และคดีอาญาหมายเลขแดงที่1131/2530 และ 1132/2530 ของศาลจังหวัดนราธิวาส จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสอง วางโทษจำคุก 4 ปีคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุก 3 ปี ของกลางศาลสั่งริบไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 834/2529 ของศาลชั้นต้นแล้ว ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 130,900 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยที่ 1 ได้นำทองคำรูปพรรณเป็นล็อกเกตและสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึงไปให้นายชุมพี่เขยของจำเลยที่ 1 ช่วยขาย โดยจำเลยที่ 1 ได้รับทองคำรูปพรรณดังกล่าวไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ อันเป็นความผิดฐานรับของโจร พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 วรรคสองวางโทษจำคุก 4 ปี คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสี่ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า " พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนให้คนร้ายทั้งสามคนปล้นทรัพย์ผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า ผู้ที่จะมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดนั้น จะต้องได้ความว่าผู้นั้นกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด แม้ผู้กระทำผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือได้ความสะดวกนั้นก็ตาม คดีสำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำการใดบ้างที่จะล่อแสดงให้ได้ความชัดว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการปล้นทรัพย์ของคนร้ายทั้งสาม คงมีแต่ผู้เสียหายเบิกความว่า เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าจำเลยที่ 2 เป็นคนมอบรถจักรยานยนต์ให้คนร้าย ส่วนจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของอาวุธปืนที่ใช้ปล้น พยานผู้เสียหายจึงเป็นเพียงพยานบอกเล่า ส่วนเรื่องอาวุธปืนของกลางผู้เสียหายเบิกความว่า อาวุธปืนที่เจ้าพนักงานตำรวจนำมาให้พยานดูรวม 2 กระบอก พยานดูแล้วจำได้ว่าเป็นอาวุธปืนที่คนร้ายใช้จี้พยานในวันเกิดเหตุ โดยผู้เสียหายอ้างถึงเหตุที่จำได้เพียงว่าดูจากลักษณะเหมือนกันไม่ได้ให้เหตุผลอื่นใดเป็นพิเศษที่จะให้มีน้ำหนักมั่นคงพอที่จะรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าผู้เสียหายจำอาวุธปืนได้ทั้งสองกระบอกจริง เรื่องรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ในการพาทรัพย์หลบหนีไปก็เช่นเดียวกัน ผู้เสียหายเบิกความลอย ๆแต่เพียงว่า ดูรถจักรยานยนต์ซึ่งจอดอยู่ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอยะรังจำได้ว่าเป็นคันที่คนร้ายใช้ในวันเกิดเหตุ โดยไม่บอกถึงเหตุผลที่จำได้ ทั้งยังเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่าเห็นแต่เพียงข้างหลังไม่ทราบว่ายี่ห้ออะไร จึงไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจำรถจักรยานยนต์ได้จริง พันตำรวจโทฉลอง ทองจันทร์พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ที่จับจำเลยที่ 1 มีแต่คำซัดทอดของผู้ต้องหาด้วยกัน และยึดได้จดหมายที่จำเลยที่ 1 เขียนถึงคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ ศาลฎีกาตรวจดูจดหมายของจำเลยที่ 1 ตามเอกสารหมายจ 5 ก็ไม่มีข้อความใดที่ระบุหรือพาดพิงถึงว่าจำเลยที่ 1 ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก คนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย พยานโจทก์คงมีแต่คำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เอกสารหมาย จ 6 ที่ให้การว่าได้มีการนั่งปรึกษาเพื่อวางแผนปล้นที่บ้านของจำเลยที่ 1 แต่ไม่ทราบว่าจะปล้นที่ร้านไหน เพราะนายวีระ นายมนูญ นายอับดุลเลาะจะไปทำการปล้นกันเอง จำเลยที่ 1 ได้มอบอาวุธปืนลูกซองสั้น 2 กระบอกให้นายอับดุลเลาะ และให้รถจักรยานยนต์ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 2หลังจากนั้นคนทั้งสามก็ซ้อนท้ายกันออกไป ซึ่งคำให้การชั้นสอบสวนดังกล่าวเป็นเพียงพยานบอกเล่า จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสซักค้านและจำเลยที่ 1 ก็ให้การปฏิเสธอยู่ เมื่อโจทก์ไม่มีพยานอื่นมาสืบประกอบ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังว่าจำเลยที่ 1มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์ดังที่โจทก์ฎีกาศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อนึ่ง ข้อเท็จจริงสำหรับจำเลยที่ 1 ฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 รับของโจรเฉพาะทองคำรูปพรรณเป็นล็อกเกตและสร้อยคอทองคำหนัก 2 สลึง เท่านั้นซึ่งทรัพย์ดังกล่าวปรากฏว่าผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการปล้นทรัพย์รายนี้จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายอีก แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยที่ 1คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์