โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเทศบาลธนบุรี  มีสิทธิไปมาโดยทางบก  ทางน้ำ ที่มีอยู่ในเขตเทศบาล จำเลยที่ ๑  มีหน้าที่รักษาการตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖  พระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง ๑๐ ข้อ  และพระราชบัญญัติจัดวางทางรถไฟและทางหลวง พ.ศ. ๒๔๖๔  และเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ ๒  จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ให้มีและบำรุงทางบก  ทางน้ำ  จัดให้มีและบำรุงทางระบายน้ำรักษาความสะอาดของถนนหรือทางเดินและที่สาธารณะ  รวมทั้งการจัดมูลฝอยและสิ่งปฏิกูลในเขตเทศบาลธนบุรี  จำเลยที่ ๒  งดเว้นไม่ทำการตามหน้าทีและทำการฝ่าฝืนกฎหมายเกี่ยวกับการสร้างทางหลวงโดยถมคลองแล้วยังฝังท่อระบายน้ำแทนบ้าง  ถมคลองแล้วให้การรถไฟสร้างสถานีรถไฟทับบ้าง  ถมคลองเพื่อสร้างถนนแล้วปล่อยให้ตื้นเขินบ้าง  และปล่อยให้ประชาชน ทิ้งขยะมูลฝอยลงในคลองบางคลองจนตื้นเขิน  ทั้งไม่บำรุงรักษาทางระบายน้ำในถนนบางสาย  ทำให้โจทก์และประชาชนทั่วไปไม่อาจใช้ทางน้ำสาธารณะเป็นทางสัญจรได้  และเป็นการละเมิดต่อโจทก์  ขอให้บังคับให้จำเลยขุดลอกคลอง  รื้อถอนสิ่งกีดขวางไปให้พ้นเขตคลอง  และแก้ไขเปลี่ยนแปลงท่อระบายน้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย  จึงสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ที่อ้างว่าจำเลยที่ ๒ กระทำละเมิดก็คือ  การที่จำเลยที่ ๒  ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอันเกี่ยวกับหน้าที่ที่จะต้องจัดให้มีและบำรุงทางน้ำ  ทางบก  และทางระบายน้ำ  ตลอดจนรักษาความสะอาด  ทำให้โจทก์และประชาชนทั่วไปไม่อาจใช้ทางน้ำสาธารณะเป็นทางสัญจรไปมาได้เหมือนแต่ก่อน  ดังนี้  ย่อมมีความหมายว่า  พลเมืองที่ใช้ทางน้ำสาธารณะนั้น ๆ ร่วมกันเป็นผู้ได้รับความเสียหาย  หากจำเลยที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตนตามกฎหมายจริง  ก็หาใช่ว่าโจทก์เป็นผู้ได้รับความเสียหายยิ่งกว่าประชาชนทั่วไปไม่  สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ไม่พอให้ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ระหว่างโจทก์กับจำเลย  อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องร้องจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕
พิพากษายืน