โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีโรงเรือน ตามใบแจ้งรายการประเมินลงวันที่ 13 มีนาคม 2544 และเพิกถอนใบแจ้งคำชี้ขาดลงวันที่ 28 พฤศจิกายน 2544 ของจำเลยเฉพาะในส่วนที่โจทก์ใช้เป็นที่พักอาศัย และให้จำเลยคืนเงินให้โจทก์จำนวน 11,345 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 19 มีนาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์ชำระเงินค่าภาษีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โรงเรือนพิพาทของโจทก์ในส่วนที่โจทก์มิได้นำไปใช้ประโยชน์ โจทก์ต้องเสียภาษีโรงเรือนในส่วนดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่า โรงเรือนพิพาทของโจทก์เป็นตึกแถว 2 คูหา 4 ชั้น โจทก์นำตึกแถวชั้นที่ 1 ให้ผู้อื่นเช่าทำการค้า ส่วนชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 โจทก์ให้นางวิภาดากรรมการผู้จัดการโจทก์พักอาศัย ส่วนชั้นที่ 4 ปิดไม่ได้ทำประโยชน์ อาคารดังกล่าวจึงสามารถแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วน ๆ ได้ชัดเจน ดังนั้น ค่ารายปีที่จะนำมาคำนวณเป็นค่าภาษีโรงเรือนจึงสามารถคำนวณได้จากพื้นที่ของแต่ละส่วนที่โจทก์ใช้ประโยชน์ได้ และส่วนใดจะได้รับการยกเว้นการเสียภาษีโรงเรือนตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 นั้น จะต้องพิจารณาเป็นส่วน ๆ ไป ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า หากนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปหาประโยชน์แล้ว เจ้าของอาคารจะต้องเสียภาษีทั้งหมดไม่ว่าเจ้าของจะใช้เองหรือให้ผู้แทนเฝ้ารักษาก็ไม่ได้รับยกเว้นการเสียภาษีตามมาตรา 10 แห่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย
มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า สำหรับอาคารชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 ที่โจทก์ให้นางวิภาดาเข้าพักอาศัยอยู่กับครอบครัวนั้นได้รับการยกเว้นการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 10 หรือไม่ เห็นว่า ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้น โรงเรือนในส่วนที่จะได้รับการยกเว้นจะต้องเป็นโรงเรือนในส่วนที่เจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษา และมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบกิจการอุตสาหกรรม เนื่องจากคดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง การวินิจฉัยข้อกฎหมายจึงต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมา แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าโรงเรือนในส่วนนี้โจทก์อยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่เฝ้ารักษาหรือได้ใช้เป็นที่เก็บสินค้าหรือประกอบกิจการอุตสาหกรรมหรือไม่ ศาลภาษีอากรกลางยังไม่ได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรจึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงส่วนนี้ไปเสียเลยทีเดียว คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้โดยไม่มีคู่ความโต้เถียงว่า ในอาคารชั้นที่ 2 และชั้นที่ 3 โจทก์ให้นางวิภาดากรรมการผู้จัดการของโจทก์พักอาศัยอยู่ ไม่มีการเก็บสินค้าหรือประกอบกิจการอุตสาหกรรมในชั้นเหล่านี้ เห็นว่า โจทก์ในคดีนี้เป็นนิติบุคคล โจทก์จึงเป็นเจ้าของอาคาร การอยู่อาศัยของนางวิภาดาจึงไม่ใช่เป็นการที่เจ้าของอยู่เอง นางวิภาดาเป็นกรรมการผู้จัดการโจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนของโจทก์ ข้อเท็จจริงในคดีนี้ฟังได้จากอุทธรณ์ของโจทก์เองว่า นางวิภาดาเข้าพักอาศัยในอาคารนี้พร้อมกับครอบครัว ดังนั้น การที่นางวิภาดาซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์อยู่ในอาคารนี้จึงเป็นการพักอาศัยมิใช่เป็นการอยู่โดยโจทก์ให้อยู่เฝ้ารักษา เพราะการอยู่เฝ้ารักษาตามความหมายแห่งมาตรา 10 ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 จะต้องเป็นการอยู่เฝ้ารักษาจริง ๆ ไม่ใช่เป็นการพักอาศัยอยู่กับครอบครัวเช่นนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ไม่ได้อยู่เอง และการอยู่ของนางวิภาดาไม่ใช่การอยู่เฝ้ารักษาเช่นนี้ โจทก์จึงไม่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 โจทก์จึงต้องเสียภาษีโรงเรือนในส่วนนี้ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษามานั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ.