โจทก์ทั้งสองฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมสัญญา เรื่องการอุทิศที่ดินให้กับทางราชการเข้าไปดำเนินการเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ลงวันที่ 27 มิถุนายน 2555 หรือมีคำพิพากษาว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นโมฆะ และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3399 ให้แก่โจทก์ที่ 1 และจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 3405 ให้แก่โจทก์ที่ 2 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 3399 ฉบับเจ้าของที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 1 และส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 3405 ฉบับเจ้าของที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 2 กับห้ามจำเลยเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองอีกต่อไป
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลยฉบับลงวันที่ 27 มิถุนายน 2555 และให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3399 คืนโจทก์ที่ 1 และจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 3405 คืนโจทก์ที่ 2 หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ 2 ถึงแก่ความตาย นางรัชนี ทายาทยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 โจทก์ทั้งสองและนายสัญญา ร่วมบริจาคที่ดินให้แก่จำเลย โจทก์ที่ 1 บริจาคที่ดินเนื้อที่ 2 ไร่ 36 ตารางวา ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3399 ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 946 โจทก์ที่ 2 บริจาคที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ 35 ตารางวา ตามโฉนดที่ดินเลขที่ 3405 ซึ่งแบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 28977 นายสัญญาบริจาคที่ดินโฉนดเลขที่ 17860 เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 31.58 ตารางวา โดยมีข้อตกลงว่า จำเลยจะต้องนำที่ดินไปสร้างตลาดสดและสถานีขนส่งผู้โดยสารพร้อมทั้งอำนวยความสะดวกทางสัญจรเข้าออกให้แล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานภายใน 36 เดือน หากจำเลยผิดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งถือว่าผิดสัญญา โจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินคืนได้ เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดแล้วจำเลยไม่ก่อสร้างตามเงื่อนไข ปัจจุบันที่ดินยังคงมีสภาพเป็นที่ว่างเปล่า โจทก์ทั้งสองได้มอบหมายให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาทที่โจทก์ทั้งสองทำกับจำเลยหรือไม่ เห็นว่า หนังสือแสดงความประสงค์เรื่อง การอุทิศที่ดินให้กับทางราชการหรือยินยอมให้ทางราชการเข้าไปดำเนินการเพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ทำขึ้นระหว่างโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้บริจาคกับจำเลยในฐานะผู้รับบริจาค เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงทำหนังสือกันไว้เช่นนี้ แม้จะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ย่อมมีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองและจำเลยในฐานะเป็นบุคคลสิทธิ จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามข้อสัญญาที่ระบุไว้ในหนังสือแสดงความประสงค์ฯ ซึ่งตามสัญญาข้อ 3 ระบุไว้ว่า "ผู้บริจาครายที่ 1 ผู้บริจาครายที่ 2 ผู้บริจาครายที่ 3 กับผู้รับบริจาคได้กำหนดเงื่อนไขร่วมกันที่จะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า "เงื่อนไขบริจาค" โดยมีรายละเอียดดังนี้ ข้อ 3.1 ผู้รับบริจาคจะต้องนำที่ดินบริจาคที่ได้รับไปดำเนินการก่อสร้างตลาดสดของเทศบาลตำบลแคนดง และสถานีขนส่งผู้โดยสารของเทศบาลตำบลแคนดง โดยมีรายการดังนี้ ข้อ 3.1.1 อาคารตลาดสดของเทศบาลตำบลแคนดงพร้อมทั้งบริเวณอำนวยความสะดวก ข้อ 3.1.2 อาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารของเทศบาลตำบลแคนดง พร้อมทั้งบริเวณอำนวยความสะดวก... ข้อ 3.2 ผู้รับบริจาคจะต้องเริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ตามข้อ 3.1 ภายในกำหนดระยะเวลา 16 เดือน นับตั้งแต่วันจดทะเบียนการโอนที่ดินบริจาคตามข้อ 1.6 และจะต้องแล้วเสร็จพร้อมเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการภายในกำหนดระยะเวลา 36 เดือน นับตั้งแต่วันจดทะเบียนการโอนที่ดินบริจาคตามข้อ 1.6 เว้นแต่เหตุสุดวิสัยหรือมิใช่ความผิดของผู้รับบริจาคและต้องได้รับความยินยอมจากผู้บริจาคเป็นลายลักษณ์อักษร ข้อ 3.3 ผู้รับบริจาคจะต้องเปิดใช้งานอาคารตลาดสดของเทศบาลตำบลแคนดงและอาคารสถานีขนส่งผู้โดยสารของเทศบาลตำบลแคนดงอย่างเป็นทางการตามกำหนดระยะเวลาในข้อ 3.2 และจะต้องเปิดใช้งานอย่างต่อเนื่องโดยจะไม่นำเอาที่ดินบริจาคไปทำการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในหนังสือนี้ ข้อ 4. หากผู้รับบริจาคทำผิดเงื่อนไขบริจาคข้อหนึ่งข้อใดตามข้อ 3 ให้ถือว่าสัญญานี้ผู้บริจาครายที่ 1 ผู้บริจาครายที่ 2 ผู้บริจาครายที่ 3 ขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกคืนที่ดินบริจาคภายในเวลา 6 เดือน ส่วนอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดในที่ดินบริจาคยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับบริจาค เว้นแต่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น" ตามข้อสัญญาในข้อ 3 และข้อ 4 ดังกล่าว แสดงให้เห็นว่า โจทก์ทั้งสองยกที่ดินพิพาททั้งสองแปลงให้แก่จำเลยโดยมีเงื่อนไข เมื่อเป็นเช่นนี้ ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงจะตกเป็นของทางราชการและตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินก็ต่อเมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแล้ว ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามที่ฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยนำสืบรับกันว่า จำเลยไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้างอื่น ๆ ภายในระยะเวลา 16 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 18 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นวันจดทะเบียนการให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในหนังสือแสดงความประสงค์ฯ ก็ต้องถือว่าที่ดินพิพาทยังไม่ตกเป็นของทางราชการและไม่ตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ