คดีได้ความว่า เดิมโจทก์ฟ้องขอไถ่ที่ดินแปลงนี้จากจำเลยตามสัญญาขายฝาก ซึ่งได้ขายฝากกันไว้เป็นเงิน 2,500 บาท จำเลย ให้การต่อสู้ว่า ภายหลังจากการขายฝากโจทก์ได้ยินยอมตกลงขายขาดให้จำเลยแล้ว ไม่ขอไถ่ถอนคืน ที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยแล้ว และไม่ยอมให้ไถ่ ในที่สุดโจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้โจทก์ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินแปลงนี้คืนได้เป็นเงิน 6,000 บาท กำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันทำยอม ครบกำหนดโจทก์มิได้นำเงินไปไถ่ จนล่วงเวลาต่อมาอีก 5 เดือนเศษ จึงได้มาร้องขอไถ่ ศาลชั้นต้นเรียกจำเลยมาสอบถาม จำเลยแถลงว่า โจทก์ผิดนัดแล้ว ไม่ยอมให้ไถ่ ศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่บังคับให้จำเลยให้รับเงินค่าไถ่ถอนตามที่โจทก์ร้องขอ โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาล กลับนำคดีมาฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยให้รับเงินค่าไถ่ที่ดินนี้จำนวน 6,000 บาทจากโจทก์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า เป็นฟ้องซ้ำให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ ศาลได้พิพากษาคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ประเด็นข้อทุ่มเถียงทั้งหลายอื่นก็เป็นอันหมดสิ้นไปฝ่ายใดจะย้อนกลับไปยกขึ้นมาว่ากล่าวอ้างเป็นเหตุเรียกร้องหรือฟ้องร้องแก่กันต่อไปอีก หาได้ไม่ การบังคับคดีต้องดำเนินไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความกัน เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอย่างไรในการบังคับคดี โจทก์เห็นว่าไม่ชอบด้วยเหตุผลประการใด ก็มีสิทธิที่จะอุทธรณ์คำสั่งต่อไปได้ แต่โจทก์ไม่ได้กระทำตามสิทธิของตนกลับนำมาฟ้องร้องเป็นคดีใหม่ขึ้นมาในลักษณะขอไถ่ถอนการขายฝากเช่นเดิมนั้นเอง จึงเป็นฟ้องซ้ำ พิพากษายืน