โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่ ๑, ๒   ด้วยความรู้เห็นของจำเลยที่ ๓  ทำสัญญาขายที่ดินโฉนดที่ ๔๗๖๐  ให้โจทก์ ๒ งาน  ขอให้บังคับจำเลยไปขอแบ่งแยกโฉนด  ถ้าไม่อาจบังคับจำเลย  ก็ขอให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าเสียหาย  ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑, ๒  จัดการแบ่งแยกและจดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ ๒ งาน  ถ้าไม่สามารถขายได้  ให้จำเลยที่ ๑, ๒  คืนเงินมัดจำ ๕,๐๐๐ บาท  ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งคำพิพากษาไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน
ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่า  ถ้าแบ่งแยกตามคำสั่งศาล  เนื้อที่ ๒๐๐ ตารางวาที่จะแบ่งให้โจทก์นั้น  จะต้องรวมเนื้อที่ที่ถูกตัดเป็นถนนเข้าไปด้วย  ฝ่ายจำเลยยอมอุทิศที่ดินของจำเลยให้เป็นถนน  ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเนื้อที่ ๒ งาน  โดยมิให้รวมที่ดินที่ถูกตัดถนนนั้นเข้าด้วย
ศาลชั้นต้นสั่งว่าให้บังคับคดีไปตามข้อแม้ในคำพิพากษาของศาล  กล่าวคือ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำ ๕,๐๐๐ บาท  ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาพิพากษายืน
โจทก์ยื่นคำร้องว่า  บัดนี้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป  เพราะเจ้าหน้าที่เทศบาลชี้เขตถนนผิด  ทำให้โจทก์เข้าใจผิด  ขอให้ศาลไต่สวนข้อเท็จจริง  แล้วมีคำสั่งใหม่ให้จำเลยแบ่งแยกที่ดินที่โอนให้โจทก์ตามคำพิพากษาศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นให้งดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑, ๒   ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำบังคับของศาล  ในประการที่ให้จำเลยทั้งสองขอแบ่งแยกโฉนดรายพิพาท  และจดทะเบียนขายให้โจทก์  เนื้อที่ ๒ งาน  หมายความว่าที่ดิน ๒ งานนั้น  เมื่อหักที่ดินที่ถูกตัดถนนเสียแล้ว  ยังเหลือเท่าใด  ก็โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น  ตามที่โจทก์แถลงไว้  ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาพิพากษายืน
ศาลชั้นต้นได้มีหนังสือแจ้งคำสั่งศาลฎีกายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน  เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือถามมายังศาลชั้นต้นว่า การแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ ๒ งาน เมื่อรวมกับเนื้อที่ตามบัญชีที่ดินท้ายพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๔๙๗ อีก ๖๓ ตารางวา เป็นเนื้อที่ที่ต้องแบ่ง ๒ งาน ๖๓ ตารางวา จะถูกต้องตามคำพิพากษาหรือไม่ ศาลชั้นต้นตอบไปว่าเมื่อแบ่งแยกและหักเนื้อที่ ๖๓ ตารางวาออกแล้ว  ยังคงเหลือ ๑ งาน ๓๗ วา  โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินใหม่ว่า  ให้รังวัดที่ดินโฉนดที่ ๔๗๖๐ รายพิพาทออกเป็น ๒๖๓ ตารางวา  แล้วกันออกเป็นส่วนที่ถูกเวนคืน ๖๓ ตารางวา  ศาลชั้นต้นสั่งว่า  โจทก์จะกลับมาร้องใหม่ในเหตุที่วินิจฉัยแล้วไม่ได้  ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  คดีนี้ถึงที่สุดชั้นศาลฎีกา  ซึ่งพิพากษาให้จำเลยที่ ๑, ๒  จัดการแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ ๔๗๖๐  และจดทะเบียนขายให้โจทก์ ๒ งาน  ย่อมถือว่าถึงที่สุด และต้องบังคับคดีไปตามนี้  ส่วนคำสั่ง (หรือคำพิพากษา)  ในชั้นหลัง ๆ เป็นเพียงคำสั่งในชั้นบังคับคดี  โดยถือเอาคำพิพากษาดังกล่าวข้างต้นเป็นหลักอยู่เรื่อยไป  คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ ๒๐  ตุลาคม ๒๕๐๗  ที่ให้แบ่งแยกโฉนดที่ ๔๗๖๐   ออกโดยให้มีเนื้อที่ ๒ งาน  รวมทั้งที่ถูกเวนคืน ๖๓ ตารางวานั้นเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้อง  และไม่ตรงกับคำพิพากษาดังกล่าว  โจทก์ย่อมร้องขอให้สั่งเสียให้ถูกต้องได้  คำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่  ๕  ตุลาคม  ๒๕๐๘  ที่สั่งว่าโจทก์จะกลับ มาร้องใหม่ไม่ได้นั้น  จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องเช่นเดียวกัน  พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินว่าให้จัดการแบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ ๔๗๖๐  และจดทะเบียนขายให้โจทก์เป็นเนื้อที่ ๒ งาน
จำเลยฎีกา
คดีมีปัญหาในชั้นนี้ว่า  คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้รังวัดที่พิพาทให้โจทก์ ๒ งาน  โดยรวมเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน ๖๓ ตารางวาเข้าด้วย  เป็นการถูกต้องหรือว่ารังวัดให้ได้  เนื้อที่ ๒ งาน  โดยไม่รวมเนื้อที่ที่ถูกเวนคืนเข้าด้วย  ตามที่โจทก์ขอ
ศาลฎีกาเห็นว่า  ในชั้นบังคับคดีขณะนี้  ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวิธีการบังคับคดี  โดยระบุชัดเจนว่าให้รังวัดแบ่งที่พิพาทขายให้โจทก์เนื้อที่ ๒ งาน  โดยวัดจากหลักหมายเลขที่ ๑๒๐๒๑  ไปหาหลักเขตที่ ๑๘๐๘๐  ให้เป็นรูปเส้นแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง  ทั้งนี้  ให้หมายความว่าที่ดิน ๒ งานนั้น  เมื่อคิดหน้าที่ดินที่ถูกตัดถนนเสียแล้วยังเหลือเท่าใด  ก็ให้โอนให้โจทก์ไปเท่านั้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่สุด  และต้องรังวัดที่พิพาทเป็นจำนวนเนื้อที่ ๒ งาน  โดยรวมเนื้อที่ที่ถูกกันไว้เป็นถนนเข้าด้วย  เหลือเท่าใดจึงโอนไปเท่านั้น  ตามที่โจทก์ได้แถลงไว้ต่อศาล   ดังนั้น  การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งแจ้งไปยังเจ้าพนักงานที่ดินตามหนังสือ ๘๘๐๔/๒๕๐๗  ลงวันที่  ๒๐  ตุลาคม  ๒๕๐๗  ว่า  การแบ่งแยกโฉนดที่ ๔๗๖๐  ออกให้มีเนื้อที่ ๒ งาน  รวมทั้งเนื้อที่ที่ถูกเวนคืน ๖๓ ตารางวาด้วย  จึงเป็นการถูกต้องตรงตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่กล่าวข้างต้น  โจทก์จะมาร้องใหม่อีกขอให้รังวัดที่พิพาทออกเป็น ๒๖๓ ตารางวา  แล้วกันส่วนที่ถูกเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกา ๖๓ ตารางวา  ออกนั้น ไม่อาจทำได้  เพราะนอกจากขัดกับคำแถลงของโจทก์เองแล้ว  ศาลฎีกายังได้พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้วอีกด้วย  ถ้าจะอนุญาตตามที่โจทก์ร้องขอก็ไม่มีที่สิ้นสุดได้  ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการบังคับคดีต้องอาศัยคำพิพากษา (เดิม)  เป็นหลักอยู่เรื่อยไป  คำสั่งของศาลชั้นต้น (ตอนหลังนี้)  ไม่ถูกต้องและไม่ตรงกับคำพิพากษา  จึงใช้ไม่ได้นั้น  ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย  เพราะคดีนี้การบังคับคดีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดมา  ก็จำต้องถือคำพิพากษาฉบับหลังที่สุดเป็นหลักดำเนินการบังคับคดีต่อไป ส่วนการบังคับคดีในชั้นนี้จะผิดแผกไปจากผลของคำพิพากษา (เดิม)  บ้างก็เพราะได้เปลี่ยนแปลงวิธีการบังคับคดีโดยคำพิพากษามาศาลฎีกาดังที่กล่าวแล้วนั้น
พิพากษากลับ  บังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้น