โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 317, 318
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง, 317 วรรคสาม, 318 วรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน จำคุกกระทงละ 10 ปี รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 80 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 64 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุกกระทงละ 8 ปี รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 120 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน คงจำคุก 40 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 32 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย คงจำคุก 60 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน จำคุกกระทงละ 4 ปี รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 32 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 40 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย จำคุกกระทงละ 3 ปี รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 45 ปี เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตน คงจำคุก 16 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร คงจำคุก 20 ปี ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย คงจำคุก 22 ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงจำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ (เกิดวันที่ 23 ธันวาคม 2536) พักอาศัยอยู่กับผู้เสียหายที่ 2 จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านของจำเลยและขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 อายุ 15 ปีเศษ จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ที่บ้านของจำเลย
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์สำหรับฐานความผิดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยเป็นฟ้องที่เคลือบคลุมหรือไม่ ความผิดฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย เมื่อพิจารณาฟ้องโจทก์ในส่วนของความผิดฐานดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยที่อ้างว่า จำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่จนทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาและให้การรับสารภาพ ดังนั้น ฟ้องโจทก์ส่วนดังกล่าวที่จำเลยฎีกามาจึงไม่เคลือบคลุม ปัญหาประการต่อไปมีว่า จำเลยทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ สำหรับความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร จำเลยให้การรับสารภาพและโจทก์สืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลย เมื่อจำเลยอุทธรณ์ว่าพยานโจทก์ที่นำสืบประกอบคำรับสารภาพรับฟังลงโทษจำเลยไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ชอบที่จะรับวินิจฉัยให้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลย คดีนี้ผู้เสียหายที่ 2 มาเบิกความยืนยันว่า จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 หลายครั้งที่บ้านจำเลย แม้ผู้เสียหายที่ 2 เป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มาและข้อเท็จจริงของพยานบอกเล่าน่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ เพราะผู้เสียหายที่ 2 เป็นมารดาของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน เป็นผู้พาผู้เสียหายที่ 1 ไปให้แพทย์ตรวจร่างกายพบว่าตั้งครรภ์และสอบข้อเท็จจริงจนทราบจากผู้เสียหายที่ 1 ว่าจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายที่ 1 ประกอบกับในชั้นพิจารณาจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายที่ 1 ได้ให้การไว้ตามคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งยืนยันว่าถูกจำเลยข่มขืนกระทำชำเราและเป็นการให้การต่อพนักงานสอบสวนโดยชอบ หลังจากที่ผู้เสียหายที่ 2 ทราบเรื่อง โดยไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะให้การโดยไม่เป็นความจริง กรณีจึงมีเหตุผลอันหนักแน่น มีน้ำหนักรับฟังได้ เชื่อว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีซึ่งมิใช่ภริยาของตนและพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วยนั้น จำเลยฎีกาว่าไม่ได้กระทำความผิด เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ และโจทก์ไม่ต้องสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ ศาลจึงรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องตามคำรับสารภาพ ฎีกาของจำเลยจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นใหม่และขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพของจำเลย และเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นเพิ่งจะมายกขึ้นว่ากันในศาลฎีกา จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี และคุมประพฤติจำเลยไว้ 3 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือบริการสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรเป็นเวลา 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3