โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์ได้ซื้อที่ดินพร้อมทั้งตึกแถว ๒ ชั้น ๑ ห้อง  จากการขายทอดตลาดของศาล  และศาลได้มีหนังสือถึงนายอำเภอให้ทำนิติกรรมซื้อขายให้โจทก์  จำเลยที่ ๑ รักษาการแทนนายอำเภอ  ได้ติดต่อกับจำเลยที่ ๒ ให้รับรองในฐานะผู้ปกครองท้องที่  จำเลยที่ ๒ ไม่รับรอง  จำเลยที่ ๑ จึงไม่ยอมทำนิติกรรมซื้อขายให้โจทก์  ขอให้บังคับ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่าที่พิพาทตกเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน  การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการละเมิด  พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า  จำเลยไม่มีหลักฐานพอฟังได้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  พิพากษากลับให้จำเลยที่ ๑ ทำการจดทะเบียนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทและห้ามจำเลยที่ ๒ ขัดขวาง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า  ที่พิพาทได้กลายเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วโดยเจ้าของเดิมยกให้เทศบาลเพื่อใช้เป็นถนนสาธารณประโยชน์  เมื่อที่พิพาทได้กลายเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปแล้ว  การที่มีผู้เข้าครอบครองที่พิพาทในภายหลังและรับโอนกันเป็นทอด ๆ จนถึงโจทก์เป็นคนสุดท้าย  แม้โจทก์จะได้รับโอนมาโดยสุจริต  และเสียค่าตอบแทนก็ดีโจทก์หาได้กรรมสิทธิ์ไม่  เพราะที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินต้องห้ามการโอน  เว้นแต่อาศัยอำนาจบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๓๐๕
เห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและหน้าที่ราชการ  หาเป็นการละเมิดต่อโจทก์ไม่  จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ยืนตามศาลชั้นต้น