โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองสมคบกันก่นสร้างแผ้วถางทำลายป่าชายเลน คลองบางผึ้ง คลองพอ ในท้องที่ตำบลเพหลา อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็นป่าคุ้มครอง เนื้อที่ประมาณ ๑๕ ไร่เศษ แล้วบังอาจยึดถือเอาโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง และสงวนป่า พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๗,๘ ๒๒; (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๔ ๖ พระราชกฤษฎีกากำหนดป่าชายเลนคลองบางผึ้ง คลองพ่อ ฯ ให้เป็นป่าคุ้มครอง พ.ศ. ๒๔๙๔ ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙,๑๐๘ ให้จำเลยออกจากป่าและงดเว้นกระทำใดๆ ในที่ดิน
จำเลยให้การว่า ฟ้องไม่สมบูรณ์ ที่ดินนี้นายอาด หลานโปะ จับจองทำสวนยางพารา ต่อมา พ.ศ. ๒๔๙๔ ขายให้นายเส็นหรือหะยีอูเส็น สามารถ แล้วนายหะยีอูเส็น สามารถ ได้ขายให้แก่พ่อตาจำเลยที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๒ จำเลยที่ ๑ ก่นถางยางเดิมออกปลูก ยางพันธุ์ มิใช่ป่าชายเลนหรือป่าคุ้มครอง จำเลยที่ ๒ ช่วยทำงานนี้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้ง ๒ ผิดตามฟ้อง ปรับจำเลยที่ ๑ เป็นเงิน ๑๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๕๐ บาท ให้จำเลยออกจากป่าและงดเว้นการกระทำใด ๆ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทนี้นายอาด หลานโปะ จับจองทำประโยชน์และขายให้นายเส็นหรือหะยีอูเส็น สามารถ เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๙๔ ทำสัญญาซื้อขายที่อำเภอคลองท่อม ครั้นวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๐๒ นายหะยีอูเส็นขายให้นายคล้ายพ่อตาจำเลยที่ ๑ เห็นว่าได้มีการโอนการครอบครองต่อ ๆ กันมา อันเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยได้เข้าครอบครองที่พิพาทโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายแต่ประการใดไม่ ขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา และที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ป่าคุ้มครอง แม้ผู้อื่นเคยมีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนและโอนกันต่อ ๆ มา เมื่อพระราชกฤษฎีกาให้เป็นป่าคุ้มครองแล้ว ก็ไม่ทำให้ที่นั้นหมดสภาพเป็นป่าคุ้มครองนั้น เป็นคนละประเด็นกับที่จำเลยมีเจตนากระทำผิดหรือไม่ ตามฎีกาที่ ๙๒๒/๒๕๐๒ พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์