โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289, 33, 83, 80, 91, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 และริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289 ประกอบด้วยมาตรา 80 และ 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 กระทงแรกเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้ประหารชีวิต ฐานมีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในความครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานพกพาอาวุธปืนไม่มีทะเบียน จำคุก 6 เดือนรวมทุกกระทงแล้วให้ลงโทษประหารชีวิตเพียงสถานเดียว จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 52(2)คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ริบของกลาง
โจทก์และจำเลยต่างไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนมายังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง 72 วรรคหนึ่ง และ72 ทวิ วรรคสอง ลงโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้จำคุก30 ปี รวมจำคุก 31 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงลงโทษจำคุก 15 ปี 9เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้มีอาวุธปืนลูกซองเดี่ยวไม่มีหมายเลขทะเบียน จำนวน 1 กระบอก กับกระสุนปืนลูกซองขนาดเบอร์ 12 จำนวน5 นัด ไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรแล้วจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนลูกซองดังกล่าวและปืนคาร์บินจำนวนหลายกระบอกยิงนายฉัตรชัย กฤษดานนท์ นายวิเชียร บุญเปียนายบัลลังก์ เทพแสน นางแมว จิตรซื่อ และนางตุ๋ง นาสุข ซึ่งนั่งมาในรถยนต์กระบะ โดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เนื่องจากโกรธแค้นนายฉัตรชัยที่บังคับซื้อที่ดินจากจำเลยในราคาถูกและยังบังคับซื้อที่ดินจากพวกของจำเลยอีก เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกนายฉัตรชัย นายวิเชียร กับนายบัลลังก์ ถึงแก่ความตายและถูกนางแมวกับนางตุ๋งได้รับอันตรายสาหัส คดีมีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ขณะจำเลยกระทำผิด จำเลยมีจิตบกพร่องอันจะลงโทษจำเลยน้อยลงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคสอง หรือไม่
พิเคราะห์แล้วได้ความว่า ในระหว่างพิจารณาคดีนี้ ทนายความจำเลยซึ่งเป็นทนายความขอแรงให้ช่วยว่าความยื่นคำร้องต่อศาลว่าตนพบจำเลยเพื่อสอบถามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าจำเลยไม่พูดจา มีลักษณะของคนวิกลจริต ไม่อาจต่อสู้คดีได้ ขอให้ศาลชั้นต้นส่งตัวจำเลยไปยังโรงพยาบาลโรคจิตเพื่อตรวจสอบว่าจำเลยวิกลจริตหรือไม่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งตัวจำเลยไปโรงพยาบาลนิติจิตเวชตรวจดูอาการของจำเลย ต่อมานายจินดา โสมนัส แพทย์ประจำโรงพยาบาลนิติจิตเวชผู้ตรวจอาการจำเลยทำรายงานการวินิจฉัยโรคลงความเห็นว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิต แต่ขณะเกิดเหตุสันนิษฐานตามหลักวิชาการว่า พอรู้ผิดชอบได้บ้างขณะนี้อาการจิตสงบ พอต่อสู้คดีได้ ศาลชั้นต้นจึงได้พิจารณาคดีต่อไปโดยสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลย และพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง วางโทษจำคุกตลอดชีวิต เห็นว่า แม้จะปรากฏตามรายงานวินิจฉัยโรคของแพทย์ว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิต แต่จำเลยก็มิได้นำแพทย์ผู้ตรวจอาการจำเลยมาสืบประกอบรายงานวินิจฉัยดังกล่าวเพื่อให้โจทก์มีโอกาสถามค้านข้อเท็จจริง ให้แน่ชัดว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยมีจิตบกพร่องจริงหรือไม่ ทั้งนางครัว อื่นเทศ ภริยาจำเลยซึ่งมาเบิกความเป็นพยานโจทก์ก็ไม่ได้เบิกความในพฤติกรรมของจำเลยว่ามีอาการโรคจิตมาก่อน และศาลชั้นต้นมิได้รับฟังรายงานการวินิจฉัยของแพทย์แต่อย่างใด จำเลยก็ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวข้อเท็จจริงไม่อาจรับฟังได้ว่า ขณะจำเลยกระทำผิดจำเลยมีจิตบกพร่องที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกรายงานการวินิจฉัยโรคของแพทย์ขึ้นวินิจฉัยว่าจำเลยป่วยเป็นโรคจิต และลงโทษจำเลยน้อยลงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 วรรคสอง นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย"
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.