กรณีนี้เดิมศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงเงินนางจรัสศรี แต่รอการลงโทษไว้และให้จำเลยใช้เงินแก่นางจรัสศรีผู้เสียหาย ๔,๐๐๐ บาท คดีถึงที่สุด แต่จำเลยไม่ชำระเงิน ผู้เสียหายจึงร้องขอให้ศาลบังคับคดียึดโฉนดที่ ๖๒๕๖ และเรือนโดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายจิตรสามี ศาลอาญาสั่งยึดให้ตามขอ ต่อมาผู้เสียหายร้องขอให้ศาลแก้เลขโฉนดที่ศาลออกหมายบังคับผิดไป ศาลสั่งให้ผู้เสียหายร้องขอแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของจำเลยเสียก่อน ผู้เสียหายจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแยกสินบริคณห์ที่ดินโฉนดที่ ๖๒๕๙ ออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ศาลสั่งออกหมายบังคับคดีและแจ้งในหมายว่าผู้เสียหายได้ร้องขอต่อศาลให้แยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยครึ่งหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๘๓ ผู้เสียหายได้นำเจ้าพนักงานกองหมายยึดตามคำสั่งศาล
นายจิตรสามีร้องขัดทรัพย์ว่าที่ดินนั้นเป็นสินเดิมหาใช่ของจำเลยไม่ แม้จะฟังว่าเป็นสินสมรสก็ยังเป็นสินบริคณห์ที่โจทก์นำยึดไม่ได้ ขอให้ศาลถอนการยึด
ผู้เสียหายยืนยันว่าเป็นสินสมรสและได้ขอแยกสินบริคณห์แล้ว จึงมีอำนาจทำได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๘๓
ศาลอาญาฟังว่าที่ดินมีชื่อนายจิตรสามีเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์โดยใช้เงินสินเดิม ๑,๒๐๐ บาท ซื้อ แต่ได้ซื้อเมื่อได้จำเลยแล้ว จึงเป็นสินสมรส เจ้าหนี้อาจขอต่อศาลให้แยกออกเป็นส่วนของลูกหนี้เพื่อดำเนินการตามคำพิพากษาได้ตามป.พ.พ.มาตรา ๑๔๘๓ มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ให้ขายทอดตลาดที่ดินรายนี้ได้สุทธิเท่าใดให้ชักออกให้ผู้ร้อง ๑,๒๐๐ บาทก่อน เพื่อใช่ส่วนที่เป็นสินเดิม เหลือจากนั้นแบ่งเป็นสามส่วน เป็นของจำเลย ๑ ส่วน เอาชำระให้แก่ผู้เสียหาย
ผู้ร้องอุทธรณ์ว่ากู้เสียหายไม่มีอำนาจยึดสินบริคณห์ระหว่างผู้ร้องและจำเลย เจ้าหนี้ต้องขอแยกสินบริคณห์เสียก่อน ในเรื่องนี้ผู้เสียหายร้องขอแยกสินบริคณห์มาฝ่ายเดียวโดยผู้ร้องมิได้รับรู้ด้วย แม้ศาลจะสั่งแยกก็ไม่เป็นการชอบ ศาลอาญาไม่มีอาญาไม่มีอำนาจสั่งแยกสินบริคณห์ เป็นหน้าที่ศาลแพ่ง และยืนยันว่าที่ดินนี้เป็นสินเดิม
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หนี้สินรายนี้เป็นหนี้สินส่วนตัวของจำเลย ผู้ร้องไม่ต้องรับผิด ผู้เสียหายต้องร้องขอแยกสินบริคณห์ออกเป็นส่วนของจำเลยป.พ.พ.มาตรา ๑๔๘๓ ก่อนจึงจะยึดได้ และการร้องขอแยกเป็นกรณีมีข้อพิพาท ผู้ร้องต้องแจ้งคดีเพื่อให้สามีหรือภริยาที่จะต้องเสียสิทธิเข้ามาแก้คดีได้เต็มที่ จะยื่นแต่คำร้องเท่านั้นไม่ได้ พิพากษากลับให้ถอนการยึด
ผู้เสียหายฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ในชั้นนี้เป็นเรื่องการบังคับคดีเพื่อดำเนินการไปตามคำพิพากษา และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๘๓ มิได้บังคับไว้โดยแจ้งชัดว่า เจ้าหนี้จะต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่เพื่อขอให้แยกสินบริคณห์เสียก่อนดังนั้น เจ้าหนี้อาจร้องขอต่อศาลโดยทำเป็นคำร้องก็ได้ ข้อที่ว่าการร้องขอแยกสินบริคณห์โดยคำร้องเช่นนี้ เมื่อสินบริคณห์ถูกยึดมาแล้ว ผู้ร้องก็อาจร้องขัดทรัพย์เข้ามาได้ดังเช่นที่ได้กระทำมาในคดีนี้ จึงไม่เป็นการตัดโอกาศผู้ร้องที่จะโต้แย้งอย่างไรอนึ่ง สินบริคณห์อันเป็นส่วนของจำเลยที่จะนำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา ฯให้แก่ผู้เสียหายนั้นมีเท่าไร ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนคดีนี้ไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาที่ยังค้างอยู่นั้นก่อน