โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 289,358.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 268,504.05 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ชำระหนี้เงินกู้ยืมให้ธนาคารแทนจำเลยทั้งสองไป จำนวน 268,504.05 บาท จริง แต่เมื่อประมาณปี 2544 จำเลยทั้งสองชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกแทนโจทก์เป็นเงินจำนวน 367,537 บาท และได้ตกลงหักกลบลบหนี้กับโจทก์แล้ว หนี้ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงระงับลง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 268,504.05 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2544 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "...พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2543 จำเลยทั้งสองทำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาสรรพยา จำนวน 300,000 บาท โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันและนำสมุดเงินฝากประจำของโจทก์ไปค้ำประกันหนี้ดังกล่าว ต่อมาวันที่ 19 ตุลาคม 2544 โจทก์ถอนเงินจากบัญชีเงินฝากดังกล่าวชำระหนี้แก่ธนาคารทั้งหมดจำนวน 268,504.05 บาท และเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 จำเลยทั้งสองนำเงินจำนวน 370,000 บาท ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 42803 ตำบลตาคลี อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์แก่นางสาวสุดาพร แทนโจทก์
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองนำสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวน 370,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองชำระแก่นางสาวสุดาพรแทนโจทก์มาหักกลบลบหนี้ของโจทก์จำนวน 268,504.05 ตามฟ้องได้หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะนำสืบรับว่า จำเลยทั้งสองนำเงินจำนวน 370,000 บาท ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองที่ดินแทนโจทก์ แต่โจทก์ก็นำสืบด้วยว่า จำเลยทั้งสองชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแทนโจทก์เพื่อขอยืมโฉนดดังกล่าวไปจำนองต่อธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและโจทก์นำเงินจำนวน 606,000 บาท ไปไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวจากธนาคารคืนมาแล้ว เป็นการที่โจทก์ปฏิเสธว่าจำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ดังกล่าวแทนโจทก์ สิทธิเรียกร้องที่จำเลยทั้งสองอ้างขอหักกลบลบหนี้กับโจทก์จึงยังมีข้อต่อสู้อยู่หาอาจจะเอามาหักกลบลบหนี้ได้ไม่ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 จำเลยทั้งสองจึงนำสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวน 370,000 บาท ที่จำเลยทั้งสองชำระแก่นางสาวสุดาพรแทนโจทก์มาหักกลบลบกับหนี้ของโจทก์จำนวน 268,504.05 บาท ที่โจทก์ฟ้องไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 5,000 บาท