โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดนาฟางของโจทก์ตาม น.ส.3 เลขที่ 79 มาขายทอดตลาดชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยอ้างว่าเป็นของนายยอดลูกหนี้ของจำเลยที่ 1 ในคดีแพ่งแดงที่ 84/2508และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาด โจทก์มาไม่ทันกำหนดขอให้บังคับจำเลยคืนนาฟาง ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 7,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเลินเล่อ นาฟางแปลงนี้เป็นของนายยอดซื้อจากนายอ้ายโดยมิได้โอนต่ออำเภอ นายตาบุตรนายยอดเป็นผู้นำยึด โจทก์ทราบการยึดแล้วไม่คัดค้านถือว่าสละสิทธิ จำเลยที่ 1 รับซื้อโดยสุจริต มิได้ละเมิดสิทธิโจทก์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยไม่รู้หรือมีเหตุควรรู้ว่านาพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 2 มิให้นำยึด จำเลยที่ 1 มิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1 ซื้อนาพิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริต พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นาพิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ คือแบบ น.ส.3 มีชื่อโจทก์เป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ไม่เคยมีชื่อนายยอดลูกหนี้ การยึดที่ดินรายนี้มาขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้นำเอาหนังสือสำคัญสำหรับที่มา ทั้งมิได้แจ้งการยึดให้นายยอดและเจ้าพนักงานที่ดินทราบ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 อันเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน พิพากษากลับ เป็นให้เพิกถอนการซื้อขายขาดตลาดตามคำสั่งศาลที่นาฟางรายพิพาท
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า นายยอดเป็นบิดานายตาและเป็นพ่อตานายชื่น นายยอดและนายตาเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1และไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ 1 ขอให้บังคับคดียึดนาพิพาทขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึด มีจำเลยทั้งสองไปด้วย แล้วศาลชั้นต้นสั่งขายทอดตลาดโดยจำเลยที่ 1 ประมูลซื้อได้และชำระราคาเสร็จแล้ว ศาลสั่งทางอำเภอจดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ 1 โจทก์ก็มาฟ้อง
ศาลฎีกาฟังว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว
ในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีมิได้นำเอาหนังสือสำคัญสำหรับที่รายนี้มา ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 304 อันเป็นบทกฎหมายที่ว่าด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งเป็นข้อยกเว้นให้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้โดยไม่ต้องมีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) นั้น จะต้องเป็นข้อกฎหมายที่ได้มาจากข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ เช่นได้จากพยานหลักฐานซึ่งเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ หรือได้จากเอกสารพยานที่มีกฎหมายบังคับให้คู่ความที่กล่าวอ้างต้องแสดง เป็นต้น สำหรับข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากพยานนอกเรื่องนอกประเด็นไม่เกี่ยวกับที่คู่ความจะต้องนำสืบหรือมีกฎหมายบังคับให้ต้องแสดงดังกล่าวข้างต้นนั้น ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 โดยนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2492
ข้อที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างว่า เป็นการบกพร่องของเจ้าพนักงานบังคับคดีในการยึดทรัพย์รายนี้ ไม่เกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายใดจะต้องนำสืบ เพราะไม่มีใครกล่าวอ้างถึง และไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ตามคำให้การของจำเลยแต่อย่างใด เป็นข้อเท็จจริงนอกเรื่องนอกประเด็นต้องห้ามตามบทกฎหมายที่กล่าวข้างต้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยในการที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยถึงประเด็นข้อนี้
ศาลฎีกาไม่เชื่อว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ซื้อจากนายชื่นและได้ชำระค่าที่ดินไว้แล้ว เมื่อ พ.ศ. 2507 ทั้งไม่เชื่อข้อที่โจทก์อ้างว่า ไม่ทราบการยึดที่พิพาทนี้ โจทก์เพิ่งทำสัญญาซื้อที่พิพาทจากนายชื่นหลังจากศาลประกาศยึดที่พิพาทแล้ว 2 วัน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น