โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต ขอให้ลงโทษ
จำเลยทุกคนปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุก ๓ ปี จำเลยนอกนั้นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๒ ละทงเดียว กำหนดโทษคงเดิม
จำเลยที่ ๑ ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาจำเลยในปัญหาข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายข้อความในฟ้องขึ้น ข. ไว้ชัดว่า วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๘ เวลากลางวัน จำเลยได้สมคบกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทางมิชอบ บังคับให้นายยาโก๊ะ เอาเงิน ๕๐๐ บาท ให้แก่จำเลย แล้วจำเลยจะคืนเสื้อผ้าให้แก่นายยาโก๊ะ ๆ ได้มอบเงิน ๕๐๐ บาท แก่จำเลย ๆ ก็คืนเสื้อผ้าเก่า ๆ ให้ฯลฯ ดังนั้น ที่โจทก์กล่าวฟ้องในข้อ ค. ว่า วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๔๙๘ จำเลยสมคบกันยักยอกเอาสิ่งของซึ่งจำเลยได้ยึดไปปกครองรักษาไว้ดังกล่าวในฟ้อง ข้อ ข. ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยมิได้ที่อำนาจที่จะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยได้บังอาจสมคบกันทำรายงานเท็จ.. ฯลฯ จำเลยจะคัดค้านว่าโจทก์ไม่ระบุว่าเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนในฟ้อง ข้อ ค. จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมหาได้ไม่ เพราะข้อความในฟ้องข้อ ค. ย่อมต่อเนื่องกับฟ้องข้อ ข. ทำให้เข้าใจได้ดีว่า การกระทำของจำเลยกับพวกตามฟ้อง ข้อ ค. ได้เกิดมีขึ้นในวันที่ ๑๖ ตุลาคม ภายหลังจากการกระทำที่ได้เกิดขึ้นแล้วในฟ้อง ข้อ ข. อันเป็นเวลาเดียวกันนั้นเอง ไม่มีทางที่จะเข้าใจเป็นอย่างอื่นได้ พิพากษายืน