โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2508 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า เมื่อโจทก์นำไม้จำนวน 348 ท่อนมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว โจทก์จะโอนกรรมสิทธิ์ไม้ให้จำเลย และจำเลยจะจ่ายเงิน 58,000 บาท ให้โจทก์ทันที โจทก์ได้นำไม้มาถึงตามสัญญาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2508 โจทก์ขอให้จำเลยชำระเงินและรับโอนกรรมสิทธิ์ไม้ จำเลยเพิกถอนขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่าจำเลยออกเงินให้นายประจวบเป็นผู้แทนจัดทำไม้มาให้จำเลย 500 ท่อนต่อมานายประจวบร่วมกับบิดาโจทก์ยักยอกไม้จำนวนนี้ จำเลยจึงอายัดไม้ไว้ และได้ทำการตกลงกับบิดาโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นบุตรเข้าทำสัญญาในนามของโจทก์เอง ยอมส่งไม้ให้จำเลย หลังจากทำสัญญาแล้ว โจทก์ไม่รีบจัดการชักลากไม้มากรุงเทพฯ ทำให้ไม้เสื่อมคุณภาพและราคาตกไม่สมประโยชน์ของจำเลย จำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระเงินนั้น สัญญาท้ายฟ้องไม่ใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะโจทก์จำเลยไม่มีกรณีพิพาทกัน จึงไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาท้ายฟ้องเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ เพราะได้มีกรณีพิพาทเกิดขึ้นแล้วระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลย เมื่อโจทก์ยอมตนเข้ามาผูกพันแทนบิดาโจทก์ก็ตกอยู่ในฐานะคู่กรณีกับจำเลย จำเลยทำการชักลากไม้มาล่าช้าอันเกิดจากความผิดของโจทก์เอง ทำให้ไม้เสื่อมคุณภาพ เมื่อโจทก์จำเลยมีหน้าที่ชำระหนี้ต่างตอบแทนซึ่งกันและกัน จำเลยจึงมีสิทธิจะเลือกเอาว่าจะเลิกสัญญาหรือรับชำระหนี้โดยลดส่วนอันตนจะชำระหนี้ตอบแทนนั้นลง โจทก์ไม่มีสิทธิบังคับจำเลยให้ชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนฟังได้ว่าจำเลยได้เลือกเอาการบอกเลิกสัญญา โจทก์ทราบแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมจำเลยกับบิดาโจทก์มีกรณีพิพาทกันเรื่องไม้ แต่แล้วก็ตกลงกันได้โดยทำสัญญาประนีประนอมกัน โจทก์ยอมตนเข้ามาเป็นคู่สัญญาแทนบิดาโจทก์ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์ยอมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่แทนบิดา จึงต้องผูกพันโจทก์ ศาลฎีกาเห็นต่อไปว่าโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2508 โจทก์ชักลากไม้มาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2508 รวมเวลา 45 วัน ทำให้ไม้เนื้ออ่อนแช่อยู่ในน้ำเสื่อมคุณภาพ ความล่าช้าเพราะความผิดของโจทก์เอง โจทก์ในฐานะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้คือไม่ส่งมอบไม้ทั้งหมดแก่จำเลยผู้เป็นเจ้าหนี้ภายในเวลาที่ตกลงกันการชำระหนี้จึงกลายเป็นไร้ประโยชน์แก่จำเลยจำเลยก็ได้แสดงเจตนาบอกปัดไม่รับมอบไม้ทั้งหมดจากโจทก์ ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้รับไม้และชำระเงินแก่โจทก์
พิพากษายืน