ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 1 ปี ให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วมด้วย จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยนำสืบต้องกัน รับฟังเป็นยุติได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยได้รับมอบสร้อยลูกปัดรวม 6 รายการ จำนวน 7 ชิ้นเป็นเงิน 40,750 บาท ตามเอกสารหมาย จ.1 และ ล.1ไปจากโจทก์ร่วมจริง จึงมีปัญหาว่าจำเลยได้หลอกลวงเอาสร้อยลูกปัดดังกล่าวไปจากโจทก์ร่วมโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ร่วมเบิกความว่าเคยเอาเครื่องประดับให้พี่สาวไปขายเพื่อเอากำไรนางสุรีย์ สุวรรณะ ภริยาโจทก์ร่วมเบิกความว่า นางจำนงค์ (พี่สาวโจทก์ร่วม)นอกจากรับราชการแล้ว ยังขายเครื่องประดับสตรีเป็นการหารายได้พิเศษอีกด้วย สามีพยานก็เคยฝากของให้เขาไปขายเอากำไร และนางจำนงค์ก็เบิกความว่า รู้จักจำเลยเป็นอย่างดีมาประมาณ 2 ปี เนื่องจากพยานขายเพชรพลอยเครื่องประดับได้ฝากจำเลยช่วยขายด้วย ข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากนี้ฟังได้ว่า โจทก์ร่วมและนางสาวจำนงค์พี่สาวนอกจากรับราชการครูแล้ว ยังค้าขายเครื่องประดับสตรีและได้ฝากให้จำเลยช่วยขายให้ด้วย จึงเจือสมคำเบิกความของจำเลยที่เบิกความว่า รู้จักผู้เสียหาย(โจทก์ร่วม) โดยนางสาวจำนงค์พี่สาวผู้เสียหายซึ่งเคยติดต่อค้าขายกันแนะนำให้รู้จักเพื่อทำการค้าเครื่องประดับร่วมกัน ประกอบกับโจทก์ร่วมเบิกความว่าจำเลยกับสามีไปที่บ้านพยานบ่อย ๆ บางเดือนก็ครั้งเดียว บางเดือนก็ 3 - 4 ครั้ง ดังนี้ ที่โจทก์นำสืบว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้จำเลยไม่เคยมาเอาของอะไรจากโจทก์ร่วมและไม่เคยติดต่อค้าขายกันมาก่อนจึงขัดกับคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าว ข้อเท็จจริงเชื่อได้ว่าที่จำเลยไปบ้านโจทก์ร่วมบ่อย ๆ ก็เพื่อติดต่อเอาเครื่องประดับสตรีไปขาย เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันนั่นเอง
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยทำการค้าเครื่องประดับสตรีเพื่อประโยชน์ร่วมกัน ฉะนั้น ที่จำเลยมาเอาสร้อยลูกปัดตามฟ้องไปจากโจทก์ร่วม โดยทั้งสองฝ่ายได้ทำหลักฐานการรับมอบสร้อยลูกปัดตามเอกสารหมาย จ.1 และ ล.1 ให้แก่กันและกันยึดถือไว้เช่นนี้ ประกอบกับเอกสารหมาย จ.1 จำเลยยังได้ลงชื่อและระบุหมายเลขโทรศัพท์ที่บ้านจำเลยให้โจทก์ร่วมทราบไว้ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกในการติดต่อกันนั่นเองแสดงให้เห็นว่าที่โจทก์ร่วมมอบสร้อยลูกปัดให้จำเลยไปดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่โจทก์ร่วมมอบให้จำเลยไปขายเพื่อผลกำไรตามที่เคยปฏิบัติต่อกันมาก่อนโดยสุจริต เมื่อจำเลยขายได้แล้ว ไม่นำเงินมาชำระให้แก่โจทก์ร่วม จึงเป็นการผิดสัญญาทางแพ่ง ที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ร่วมมอบสร้อยลูกปัดให้จำเลยไปเพราะหลงเชื่อคำหลอกลวงของจำเลยว่านางสาวจำนงค์ให้มาเองจากโจทก์ร่วมนั้น ขัดต่อเหตุผลและความเป็นจริงดังวินิจฉัยมาข้างต้น จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตหลอกลวงเอาสร้อยลูกปัดไปจากโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยไม่มีมูลความผิดทางอาญา ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น