โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้เงินโจทก์ไป ๔๐,๐๐๐ บาท ตกลงดอกเบี้ยร้อยละ๑ ต่อเดือน ขอให้จำเลยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำหนังสือกู้ยืมและรับเงินกู้ไปจากโจทก์
ศาลชั้นต้นฟังว่า ลายเซ็นชื่อในเอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักฐานฟ้องเรียกเงินกู้ ไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้อง ปิดอากรแสตมป์ไม่ครบตามประมวลรัษฎากรบัญญัติ ใช้เป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ต้องถือว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้พิพากษายืนในผลแห่งคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยเอกสารสัญญากู้ แต่สัญญากู้เงินนี้ปิดอากรแสตมป์เพียง ๕ บาท ตามประมวลรัษฎากรต้องปิดอากรแสตมป์๒๐ บาท ขาดไป ๑๕ บาท นับว่าตราสารสัญญากู้นี้ปิดอากรแสตมป์ไม่บริบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๑๑๘ บัญญัติว่า "ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาตราสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ ฯลฯ" เมื่อโจทก์ใช้ตราสารสัญญากู้เป็นพยานหลักฐานในการฟ้องคดีแพ่งไม่ได้ ก็เท่ากับว่าโจทก์ขาดหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ บัญญัติว่า "การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไป ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่" ที่โจทก์ฎีกาว่าเรื่องปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนหรือไม่ คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ต้นศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกขึ้นมาวินิจฉัยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องตราสารที่ต้องปิดอากรแสตมป์นี้ เป็นเรื่องที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ศาลยกขึ้นได้เอง
พิพากษายืน