โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 91, 188, 264, 265, 266, 269/1, 269/2, 269/4, 269/7, 334 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาธนาคาร ก. ผู้เสียหายที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265, 269/1, 269/2, 269/4 วรรคแรก ประกอบมาตรา 269/7, 334 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานปลอมเอกสารสิทธิและฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมบัตร อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ เมื่อจำเลยเป็นผู้ปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเอง จึงให้ลงโทษฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมตามมาตรา 269/4 แต่เพียง กระทงเดียว ตามมาตรา 269/4 วรรคสาม ฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมที่ได้ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้าและบริการ จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 30 กระทง เป็นจำคุก 60 ปี ฐานมีเครื่องมือเพื่อใช้หรือให้ได้ข้อมูลในการปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์ของผู้อื่น จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี รวมจำคุก 65 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ริบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม 29 ใบ เครื่องอ่านและเขียนบัตรพลาสติกชนิดแถบแม่เหล็ก ยี่ห้อเอ็มเอสอาร์ เอ็กซ์ 6 (MSR X6) และคอมพิวเตอร์พกพา ส่วนโทรศัพท์เคลื่อนที่ซัมซุง สีดำ รุ่นเอห้า แฟลชไดรฟ์สีขาว ซิมการ์ดโทรศัพท์ 6 อัน และบรรจุภัณฑ์ซิมการ์ดโทรศัพท์ระบบเติมเงิน 8 อัน ให้คืนแก่เจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อรวมโทษทุกกระทงความผิดแล้ว ให้จำคุก 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้โดยปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ให้ถูกต้อง อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า พยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการ รับฟังพยานหลักฐานและการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อแรกว่า การกระทำของจำเลยฐานปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์และฐานใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม เห็นว่า บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทน การชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร แต่ละใบมีข้อมูลในบัตรของผู้ถือบัตรต่างรายกันและต่างหมายเลขกัน กับออกโดยต่างธนาคารกัน ทั้งโดยสภาพของการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้บัตรดังกล่าวต้องปลอมทีละใบและใช้แต่ละใบแยกต่างหากจาก กัน ดังนี้ จำเลยจึงไม่ได้มีเจตนาเดียวในการปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรนั้น แต่มีเจตนา ปลอมและใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ซึ่งบัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิต วีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดซึ่งเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์แต่ละฉบับ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ชอบหรือไม่ โดย จำเลยฎีกาว่า หากจะลงโทษจำเลยต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า บัตรเดบิต บัตรเดบิตวีซ่าการ์ด บัตรมาสเตอร์การ์ด บัตรเครดิตวีซ่าการ์ด และบัตรเติมเงินวีซ่าการ์ดปลอม เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ออกให้เพื่อใช้ประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการหรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอน เงินสดจากบัญชีเงินฝากธนาคาร บัตรดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวนหรือระงับซึ่งสิทธิ ตามความหมายของคำว่า เอกสารและเอกสารสิทธิ แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (7) และ (9) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน