โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโจทก์มอบอำนาจให้นายวิชัย วิปัสสนาธรรม ดำเนินคดี โจทก์ได้รับอนุญาตให้สั่งซื้อสินค้ากากถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมการนำเข้ามาจากประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 1,000 ตันและโจทก์ได้ทำสัญญาขายกากถั่วเหลืองให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยไว้ล่วงหน้ารวม 3 ราย โดยโจทก์ได้รับเงินมัดจำไว้แล้วรายละ100,000 บาท สัญญาจะส่งมอบสินค้าดังกล่าวให้ผู้ซื้อภายใน 5 วันนับจากวันที่เรือบรรทุกสินค้าได้เทียบท่าเรือกรุงเทพมหานครมิฉะนั้นโจทก์จะต้องเสียค่าปรับให้แก่ผู้ซื้อวันที่ 10,000 บาทและถ้าไม่สามารถส่งมอบสินค้าภายใน 10 วัน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ โจทก์สั่งซื้อสินค้าดังกล่าวจากบริษัทในฮ่องกง สินค้าจะนำเข้ามาทางเรือโดยกำหนดถึงท่าเรือกรุงเทพมหานครวันที่ 4 เมษายน2529 จำเลยเป็นตัวแทนเรือในประเทศไทย มีหน้าที่ทำรายงานอันถูกต้องยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อจะนำสินค้าดังกล่าวของโจทก์ออกจากเรือขึ้นท่าโดยรวดเร็ว แต่เมื่อระหว่างที่เรือจะเข้าเทียบท่าเรือกรุงเทพมหานคร จำเลยทำรายงานยื่นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อแทนที่จะระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับตราส่งกลับระบุชื่อบริษัทพัฒนายนต์ชลบุรี จำกัด เป็นผู้รับตราส่งอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถรับสินค้าภายในเวลาปกติได้เป็นเหตุให้ผู้ซื้อ 3 ราย ดังกล่าวบอกเลิกสัญญา โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นค่าเช่าเรือลำเลียง ค่าเช่าโกดังเก็บสินค้า ค่าปรับตามสัญญาให้แก่ผู้ซื้อ 3 ราย และค่าขายสินค้าได้ราคาต่ำกว่าราคาที่ขายให้ผู้ซื้อเดิม รวมเป็นเงิน 701,500 บาท นอกเหนือจากที่ต้องคืนเงินมัดจำให้ผู้ซื้อเดิม โจทก์ทราบว่าจำเลยละเมิดเมื่อวันที่ 15 เมษายน 2529 โจทก์ได้ทวงถามให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 701,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทไชน่าโอเชี่ยนชิปปิ้ง จำกัด มีหน้าที่ในการจัดทำเอกสารให้แก่ผู้รับสินค้าในประเทศไทย จำเลยไม่ได้ประกอบกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศหรือเป็นผู้รับขนส่งสินค้าทางทะเลจากโจทก์และไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์การจัดทำเอกสารการรับสินค้าพิพาทโดยระบุชื่อบริษัทพัฒนายนต์ชลบุรีจำกัด เป็นผู้รับสินค้า จำเลยจัดทำตามที่บริษัท พี เอ็น วีธุรกิจและบริการ จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนโจทก์แจ้งให้จำเลยทราบและจัดทำตามความประสงค์ของโจทก์ ทั้งได้ส่งมอบเอกสารดังกล่าวให้โจทก์รับไปโดยมิได้โต้แย้งตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2529 แล้วซึ่งโจทก์ก็ได้นำเอกสารไปรับสินค้าพิพาทจากเรือเฟง ฮาง เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2529 การที่โจทก์ไม่สามารถนำสินค้าพิพาทออกจากเรือได้นั้นไม่ใช่เป็นความผิดของจำเลย โจทก์มิได้เสียหายตามฟ้องทั้งโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายด้วย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 701,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ปัญหาว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้น โจทก์มีนายวิชัย วิปัสสนาธรรม พนักงานโจทก์นายสุรพล ดวงหิรัญวิมล นิติกรกองคดี กรมศุลกากร และนายประภาสชัยวัฒนายน ผู้จัดการบริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัดเป็นพยานเบิกความสรุปได้ว่า เมื่อโจทก์ได้รับใบตราส่งและใบกำกับสินค้าจากธนาคาร โจทก์ได้มอบให้บริษัท พี เอ็น วีธุรกิจและบริการ จำกัด รับไปดำเนินพิธีการทางศุลกากรออกสินค้าพิพาทให้แก่โจทก์ บริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัดได้ส่งมอบใบตราส่งซึ่งธนาคารได้สลักหลังระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับสินค้าและใบกำกับสินค้าให้แก่จำเลย จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนเรือเป็นผู้แจ้งบัญชีสินค้าสำหรับเรือต้องระบุชื่อผู้รับสินค้าพิพาทให้ตรงกับใบตราส่ง แต่จำเลยได้แจ้งระบุชื่อผู้รับสินค้าในบัญชีสินค้าสำหรับเรือผิดไปจากใบตราส่ง ทำให้บริษัท พี เอ็น วีธุรกิจและบริการ จำกัด ออกสินค้าพิพาทจากท่าเรือให้โจทก์ช้าไปส่วนจำเลยนำสืบอ้างว่า จำเลยได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากพนักงานของบริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัด ตัวแทนโจทก์ว่าผู้รับสินค้าพิพาทคือบริษัทพัฒนายนต์ชลบุรี จำกัด โดยยังไม่ได้รับใบตราส่งจำเลยเชื่อตามที่ได้รับแจ้งเพราะบริษัทพัฒนายนต์ชลบุรีจำกัด เคยสั่งสินค้ากากถั่วเหลืองเข้ามา โดยมีบริษัท พี เอ็น วีธุรกิจและบริการ จำกัด เป็นตัวแทนในการรับสินค้า และเป็นลูกค้าของจำเลยมานานแล้ว จำเลยจึงได้แจ้งระบุชื่อผู้รับสินค้าในบัญชีสินค้าสำหรับเรือว่าเป็นบริษัทพัฒนายนต์ชลบุรี จำกัด เห็นว่าตามที่โจทก์นำสืบมาน่าเชื่อว่า เมื่อโจทก์ได้รับใบตราส่งและใบกำกับสินค้าจากธนาคารโดยชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแล้ว โจทก์ได้มอบให้แก่บริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัด เพื่อนำไปดำเนินพิธีการทางศุลกากรออกสินค้าพิพาท และบริษัท พี เอ็น วีธุรกิจและบริการ จำกัด ได้มอบใบตราส่งและใบกำกับสินค้าให้แก่จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนเรือเพื่อนำไปออกเอกสารปล่อยสินค้าแล้วที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้รับแจ้งชื่อผู้รับสินค้าพิพาททางโทรศัพท์จากพนักงานของบริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัด ว่าเป็นบริษัทพัฒนายนต์ชลบุรี จำกัด จึงได้แจ้งระบุชื่อบริษัทดังกล่าวเป็นผู้รับสินค้าพิพาทไปนั้น นายง่วนฮุน แซ่ตัน พนักงานจำเลยผู้รับโทรศัพท์เป็นพยานเบิกความว่า พยานเป็นผู้รับแจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์จากบริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัดผู้ที่โทรศัพท์แจ้งว่าชื่อนายไพโรจน์ทำงานอยู่ที่บริษัทพี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัด แต่พยานไม่เคยรู้จักนายไพโรจน์มาก่อน การที่นายง่วนฮุนไม่รู้จักนายไพโรจน์มาก่อนตามปกติวิสัยน่าจะได้มีการตรวจสอบให้แน่นอนเสียก่อนทั้งการที่นายง่วนฮุนอ้างว่าได้รับแจ้งข้อมูลทางโทรศัพท์นั้นนายประภาสผู้จัดการบริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัดพยานโจทก์ก็เบิกความยืนยันอยู่ว่าไม่เคยมีการแจ้งชื่อผู้รับสินค้าด้วยวาจาไปให้จำเลยทราบ แต่ได้ส่งใบตราส่งไปให้จำเลย นอกจากนั้นการที่นายง่วนฮุนพยานจำเลยเบิกความว่า พยานได้รับใบตราส่งตามสำเนาใบตราส่งเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 ไว้จากโจทก์แล้ว โดยบริษัท พี เอ็น วี ธุรกิจและบริการ จำกัด เป็นผู้นำมาให้และได้ประทับตรารับไว้ในวันที่ 3 เมษายน 2529 แสดงว่าจำเลยได้รับใบตราส่งไว้ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2529 ก่อนวันที่เรือเฟง ฮางจะเข้าเทียบท่าเรือกรุงเทพมหานคร ที่ด้านหน้าของใบตราส่งก็มีชื่อโจทก์และที่ด้านหลังธนาคารเอเชีย จำกัด ก็สลักหลังระบุชื่อโจทก์ ชื่อโจทก์จึงปรากฏเป็นผู้รับสินค้าตามใบตราส่งนั้นอยู่แล้ว จำเลยซึ่งเป็นผู้แจ้งบัญชีสินค้าสำหรับเรือโดยระบุชื่อผู้รับสินค้า จึงมีหน้าที่ต้องตรวจดูชื่อผู้รับสินค้าพิพาทจากเอกสารต่าง ๆ ให้ละเอียดแล้วจึงแจ้งระบุชื่อไปให้ถูกต้องซึ่งจำเลยในฐานะตัวแทนเรือสามารถตรวจตราก่อนได้ แต่หาได้ปฏิบัติไม่ กลับแจ้งระบุชื่อผู้รับสินค้าพิพาทไปโดยไม่ใช่ความระมัดระวังอันสมควรการกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์
ปัญหาว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดนั้น ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า เห็นว่า ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดเป็นประเด็นในคดีและจำเลยอ้างในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ความเสียหายของโจทก์ โจทก์มีนายวิชัย วิปัสสนาธรรม พนักงานโจทก์เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อโจทก์ได้รับคำยืนยันจากผู้ขายว่าสินค้าพิพาทที่สั่งซื้อบรรทุกลงเรือเฟง ฮาง จะเข้าเทียบท่าเรือกรุงเทพมหานครในวันที่ 4 เมษายน 2529 โจทก์ได้ทำสัญญาขายสินค้าพิพาทนั้นให้แก่ลูกค้า 3 ราย โดยตกลงว่าจะส่งมอบสินค้าพิพาทให้แก่ผู้ซื้อหลังจากเรือเทียบท่าแล้ว 5 วัน ถ้าโจทก์ผิดสัญญาจะถูกผู้ซื้อปรับรายละ 10,000 บาท ต่อวัน ถ้าส่งมอบสินค้าพิพาทไม่ได้ภายใน10 วัน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.15ถึง จ.17 เนื่องจากจำเลยแจ้งระบุชื่อผู้รับสินค้าพิพาทผิดไป ทำให้ไม่สามารถนำสินค้าพิพาทออกได้นับแต่วันที่เรือเทียบท่าเป็นเวลา15 วัน ทำให้โจทก์ต้องเสียค่าเรือลำเลียงที่บรรทุกสินค้าเพื่อรอการขนถ่ายสินค้าออก เป็นเงิน 54,550 บาท ตามใบแจ้งหนี้เอกสารหมายจ.18 ผู้ซื้อสินค้าพิพาททั้งสามรายบอกเลิกสัญญา โจทก์ต้องเสียค่าปรับรายละ 50,000 บาท รวมเป็นเงิน 150,000 บาท ตามใบสำคัญจ่ายเงินเอกสารหมาย จ.21 โจทก์ต้องเช่าโกดังเก็บสินค้าไว้เพื่อรอจำหน่าย ค่าเช่าเป็นเงิน 51,950 บาท ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมายจ.19 และ จ.20 และโจทก์ต้องนำสินค้าพิพาททั้งหมดออกเร่ขายแต่ได้ราคาต่ำกว่าที่จะขายให้แก่ผู้ซื้อเดิมทั้งสามรายเป็นเงิน 445,000บาท ตามสำเนาใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.22 รวมเป็นค่าเสียหายของโจทก์ทั้งสิ้น 701,500 บาท เห็นว่า โจทก์มีพยานบุคคลมาเบิกความยืนยันและมีพยานเอกสารมาแสดงพยานบุคคลนั้นนอกจากนายวิชัยพนักงานโจทก์แล้ว โจทก์มีนายจรูญ วัฒนกิจ ซึ่งตกลงซื้อสินค้าพิพาทไว้กับโจทก์มาเบิกความเป็นพยานสนับสนุน แม้นายสุรพงศ์นิ่มปุญกัมพงศ์ และนายสมชาย สุทธิพงศ์เกษตร ซึ่งตกลงซื้อสินค้าพิพาทไว้อีก 2 ราย จะมิได้มาเบิกความยืนยัน แต่ก็ปรากฏว่านายสุรพงศ์และนายสมชายได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้รับเงินค่าปรับจากโจทก์ไป ตามใบสำคัญจ่ายเงินเอกสารหมาย จ.21 แผ่นที่ 1 และ 3พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาเห็นได้ว่า ความเสียหายของโจทก์เป็นผลโดยตรงจากการกระทำละเมิดอันจำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์สำหรับความเสียหายของโจทก์นี้ จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินรวม 701,500บาท ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น