คดีนี้  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๒  เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ยี่ห้อจึงไท้ฮง  จำเลยที่ ๑ เป็นช่างปรับเครื่องยนต์อยู่ที่อู่ของจำเลยที่ ๒  เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๐๐  และวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๐๐  จำเลยที่ ๑ ได้แสดงตนเป็นผู้จัดการอู่ จึงไท้ฮง ของจำเลยที่ ๒  เข้าทำสัญญารับเหมาซ่อมรถยนต์และจักรยานยนต์ของโจทก์  โดยแสดงหนังสือแต่งตั้งตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ต่อตัวแทนของโจทก์ในคราวทำสัญญาครั้งแรกด้วย  ในการรับเหมาซ่อมรถครั้งแรก  เมื่อ ๕ มีนาคม ๒๕๐๐  จำเลยทั้งสองจัดการทำเรียบร้อยตามสัญญา  ส่วนในการรับเหมาซ่อมรถครั้งหลัง เมื่อ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๐  จำเลยหาจัดการซ่อมให้แล้วเสร็จภายใน ๓๐ วันตามสัญญาไม่  โจทก์เตือนให้ปฏิบัติตามสัญญา  จำเลยที่ ๑ กลับอ้างวาเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒  ส่วนจำเลยที่ ๒ อ้างว่าไม่ได้มอบให้จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนรับเหมาซ่อมรถรายนี้  เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย ๕๖,๘๐๐ บาท  จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแต่คนใดคนหนึ่งใช้ค่าเสียหายทดแทนแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑  ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า  อู่จึงไท้ฮงเป็นของจำเลยที่ ๒  แต่ได้เลิกกิจการแล้ว  นายเล้ยคาย  แซ่จึง บุตรของจำเลยที่ ๒ ตกลงกับจำเลยที่ ๑ เป็นส่วนตัวร่วมกันรับจ้างซ่อมรถ  โดยขอยืมอู่ของจำเลยที่ ๒ ๆ หาได้เกี่ยวข้องได้เสียด้วยไม่  หนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ ๑ นำไปแสดงเป็นหนังสือปลอม  จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยที่ ๑ ทำสัญญารับจ้างซ่อมรถรายนี้แทน จำเลยที่ ๒    จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด  ส่วนจำเลยที่ ๒ แม้คดียังไม่พอฟังว่าได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนก็ดี  ก็ฟังได้อยู่ว่าจำเลยที่ ๒ ได้เชิดจำเลยที่ ๑ หรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ รับจ้างซ่อมรถรายนี้  จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๘๒๑ สำหรับค่าเสียหายควรให้เพียง ๓๕,๐๐๐ บาท  จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ ใช้แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว  คดีได้ความว่า  เมื่อสามีจำเลยที่ ๒ ตาย  จำเลยที่ ๒ ก็ดำเนินกิจการอู่จึงไท้ฮงต่อมา  มีจำเลยที่ ๑ เป็นช่างปรับเครื่องยนต์  ได้มีการรับจ้างซ่อมรถของโจทก์ในนามอู่จึงไท้ฮงของจำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับจ้าง ๒ ครั้ง  คือ วันที่ ๕ มีนาคม และ ๑๘ เมษายน ปีเดียวกัน  จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ลงชื่อในสัญญารับจ้างในฐานเป็นผู้จัดการอู่ของจำเลยที่ ๒  ทั้งสองครั้ง  และเมื่อทำสัญญาครั้งแรก  จำเลยที่ ๑ ได้แสดงหนังสือมอบอำนาจด้วย  และในการไปตรวจดูรถที่จะซ่อม  การรับรถมาซ่อม  และการทำสัญญารับจ้างซ่อมก็ดี  นายเล้ยคาย บุตรของจำเลยที่ ๒ ได้ไปกับจำเลยที่ ๑  ด้วยทุกครั้ง  ศาลฎีกาจึงเห็นว่า  หนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธว่าไม่ใช่หนังสือของตนและว่าปลอมนั้น  มีลายเซ็นชื่อจำเลยที่ ๒ เป็นภาษาจีน  และจำเลยที่ ๑ ได้แสดงหนังสือนั้นต่อหน้านายเล้ยคายบุตรของจำเลยที่ ๒ ซึ่งนายเล้ยคายก็ได้เห็นหนังสือนั้น  และมิได้ท้วงติงอย่างใด  ทั้งจำเลยที่ ๒ ตลอดมาจนพยานจำเลยที่ลงชื่อเป็นพยานในหนังสือฉบับนั้นก็รับว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือฉบับนั้นมาให้จำเลยที่ ๒ เซ็นชื่อแต่อ้างว่าจำเลยที่ ๒ ไม่ยอมเซ็น  ลายเซ็นภาษาจีนที่ว่าไม่ใช่ลายเซ็นของตน
จำเลยที่ ๒ ก็มิได้อ้างอะไรนอกจากอ้างเพียงว่าตนเองอ่านเขียนหนังสือไม่เป็นเท่านั้น  นายเล้ยคายก็บอกไม่ได้ว่าหนังสือนั้นถ้าไม่ใช่หนังสือของมารดาตนแล้วจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  จึงน่าเชื่อว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจที่เกิดขึ้นโดยจำเลยที่ ๒ ก็รู้เห็นเป็นใจด้วย  โดยถ้าไม่ได้เซ็นชื่อด้วยตนเองก็คงให้ผู้อื่นเซ็นแทนไป  ส่วนนายเล้ยคาย ซึ่งติดตามไปกับจำเลยที่ ๑ ด้วยทุกครั้งนั้น  รูปการก็แสดงว่าเป็นผู้จัดการอู่นี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ ผู้เป็นมารดา  ยิ่งกว่าที่จะฟังว่าได้ปลีกตัวออกไปร่วมงานกับจำเลยที่ ๑ ตามลำพังดังจำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดี  การที่จำเลยที่ ๑ สามารถทำสัญญาในนามของอู่จึงไท้ฮงได้  โดยความรู้เห็นเป็นใจของจำเลยที่ ๒ และบุตรชายซึ่งเป็นผู้จัดการอู่ของจำเลยที่ ๒ เช่นนี้  อย่างน้อยก็ต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ ได้เชิดจำเลยที่ ๑ หรือยอมให้จำเลยที่ ๑ เชิดตัวเองว่าเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ จนโจทก์หลงเชื่อจึงได้ทำสัญญาจ้างให้จำเลยที่ ๒ ซ่อมรถให้โจทก์  จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญานั้น
พิพากษายืน