คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 133,186.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 48,159.19 บาท หากชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 4222 ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนกว่าจะชำระครบถ้วนกับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยชำระหนี้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2541 โจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิจากธนาคารดังกล่าวจึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยนับแต่วันดังกล่าว จึงขอให้แก้ไขคำพิพากษาเป็นให้จำเลยชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2541
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "มีปัญญาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าศาลชั้นต้นมีอำนาจแก้ไขคำพิพากษาตามที่โจทก์ขอหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 140,000 บาท แต่จำเลยมิได้ผ่อนชำระตรงตามงวดที่ตกลงไว้ในสัญญาโดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2541 จำนวน 2,000 บาท ในวันดังกล่าวจำเลยคงค้างชำระต้นเงิน 133,186.90 บาท และดอกเบี้ย 13,686.49 บาท ต่อมาจำเลยได้รับสภาพหนี้โดยทำสัญญาการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับโจทก์ซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวมาจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) แต่จำเลยผิดเงื่อนไขการชำระหนี้อีกโดยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2545 ในวันดังกล่าวจำเลยคงค้างชำระต้นเงิน 133,186.90 บาท และดอกเบี้ย 35,989.97 บาท โจทก์คำนวณดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าวตลอดมาจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 48,159.19 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยรวม 181,346.09 พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 133,186.90 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยยื่นคำให้การแต่ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นจึงพิจารณาคดีโจทก์ไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 133,186.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 48,159.19 บาท หากชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้บังคับคดีจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนกว่าจะชำระครบถ้วน ซึ่งเมื่อพิจารณาคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนดอกเบี้ยปรากฏว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในต้นเงินที่ค้างชำระ 133,186.90 บาท ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2545 ซึ่งไม่ตรงกับที่โจทก์ขอโดยไม่ให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัยเนื่องจากคดีนี้ศาลชั้นต้นมีอำนาจพิพากษาคดีได้ด้วยวาจาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 141 วรรคท้าย 194,196 เนื้อหาของคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงมีเพียงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์และรับผิดค่าฤชาธรรมเนียมเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าคดีนี้โจทก์นำพยานเข้าสืบฝ่ายเดียวและสืบข้อเท็จจริงตรงตามที่กล่าวอ้างในคำฟ้อง และไม่ปรากฏข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นว่ารับฟังแตกต่างจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งในคำพิพากษาก็ระบุจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยต้องรับผิดไม่เกิน 48,159.19 บาท สอดคล้องกับทางนำสืบของโจทก์ กรณีจึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยเห็นด้วยกับทางนำสืบของโจทก์ทุกประการเพียงแต่เขียนคำพิพากษาออกมาตามรูปแบบของคำพิพากษาด้วยวาจาระบุวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยผิดพลาดไปจากข้อวินิจฉัยซึ่งเห็นด้วยกับคำฟ้อง การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขวันเดือนปีที่คิดดอกเบี้ยจากวันที่ 25 มกราคม 2545 เป็นวันที่ 29 ตุลาคม 2541 ให้ถูกต้องตรงกับทางนำสืบและคำฟ้อง จึงเป็นกรณีขอแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 143 วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นการโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น ชอบที่ศาลชั้นต้นจะแก้ไขข้อผิดหลงเล็กน้อยนั้นได้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาต้องกันมาให้ยกคำร้องของโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น"
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 133,186.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ