โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยขับรถขนส่งคนโดยสารและของเกินจำนวนที่นายทะเบียนกำหนด  และมีการบรรทุกน่าจะเป็นอันตรายแก่คนโดยสารในยานพาหนะนั้น  ทั้งขับรถเร็วเกินอัตรา  เป็นการประมาท  ทำให้คนตายและบาดเจ็บ  ของให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗  ฯลฯ  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙, ๒๓๓, ๒๓๘, ๒๓๙, ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐, ๙๐, ๙๑  ฯลฯ
จำเลยให้การว่า  ไม่ได้ขับรถประมาท  เหตุเกิดขึ้นเพราะยางในรถยนต์ระเบิด  เป็นเหตุสุดวิสัย
ศาลชั้นต้นฟังว่า  จำเลยบรรทุกของและคนโดยสารเกินอัตรา  และขับรถด้วยความเร็วสูง  ยางระเบิดรถแฉลบตกลงข้างถนนเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บ  พิพากษาว่าผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑, ๓๐๐, ๓๙๐  และพระราชบัญญัติจราจรทางบก  พ.ศ. ๒๔๗๗  ฯลฯ  มาตรา ๔  ให้จำคุก ๔ ปี  ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๑  ซึ่งเป็นบทหนัก
โจทก์อุทธรณ์ว่าต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓๘  วรรคแรก  จำเลยอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง  หรือลงโทษเบาและลดโทษให้จำเลย
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า  ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  รถถึงหลักกิโลเมตรที่ ๙  ยางล้อหลังระเบิดรถวิ่งแฉลบตกถนนเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บ  เห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นการประมาท  เห็นด้วยกับศาลชั้นต้น
ข้อที่จำเลยให้ลงโทษเบานั้น  ยังไม่เห็นด้วย  เพราะเป็นเหตุให้คนตายและบาดเจ็บถึง ๔๐ คน
ข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่า  ความผิดของจำเลยเข้าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓๓  ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓๘  วรรคแรก  ศาลอุทธรณ์เห็นว่ายังไม่พอฟังว่ามีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น  และเห็นว่าข้อเท็จจริงกลับได้ความว่าจำเลยขับรถไปโดยปลอดภัยจากจุดที่รับคนโดยสารถึงที่เกิดเหตุเป็นระยะทางถึง ๓๐ กิโลเมตร  ทั้งอันตรายที่คนโดยสารได้รับก็เนื่องจากการขับรถของจำเลย  ที่ศาลชั้นต้นไม่ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓๓, ๒๓๘  ชอบแล้ว  พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า  ไม่เห็นพ้องด้วยในการที่ศาลอุทธรณ์ไม่ลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๓๓, ๒๓๘  โจทก์เห็นว่ายานพาหนะของจำเลยมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะนั้น  เข้าเกณฑ์ความผิดมาตรา ๒๓๓ แล้ว  ศาลชั้นต้นสั่งรับว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น  จำคุกจำเลยไว้ ๔ ปี  โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้  ต้องห้ามตามประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘
ปัญหาว่าฎีกาของโจทก์นี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลฎีกาจะพึงรับไว้พิจารณาได้หรือไม่
ปัญหานี้ได้ปรึกษาในที่ประชุมแล้วเห็นว่าฎีกาของโจทก์ตอนที่ว่า  ตามข้อเท็จจริงที่ได้ความตามที่โจทก์นำสืบ  โจทก์เห็นว่ายานพาหนะของจำเลยมีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลในยานพาหนะ  อันเข้าหลักเกณฑ์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๓๓ แล้วนั้น  เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ส่วนข้อเท็จจริงนั้น  โจทก์ฎีกาไม่ได้  ศาลฎีกาจะวินิจฉัยเฉพาะข้อกฎหมายว่า  ข้อเท็จจริงเท่าที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมานั้น  จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๓๓ หรือไม่
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยบรรทุกคนโดยสารเกินอัตราถึงกับต้องเกาะข้างรถ ท้ายรถ  ขึ้นหลังคาและยังมีน้ำแข็งก้อนใหญ่บรรทุกไปด้วยสิบกว่าก้อน
ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาว่า  รถยนต์คันนี้ได้มีการบรรทุกจนน่าจะเป็นอันตรายแก่คนในยานพาหนะนั้นตามความในมาตรา ๒๓๓ นั้นแล้ว  จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา ๒๓๓
แต่จำเลยทมีความผิดอันจะถูกลงโทษตามมาตรา ๒๓๘ หรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า  จะผิดมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการกระทำผิดของจำเลยตามมาตรา ๒๓๓ นั้น  เป็นเหตุทำให้ผู้โดยสารถึงแก่ความตายหรือได้รับอันตรายสาหัส  แต่คดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงเสียแล้วว่า  ภายหลังที่ได้มีการบรรทุกคนโดยสารเกินอัตราดังกล่าวแล้ว  จำเลยก็ได้ขับรถไปโดยปลอดภัยจากจุดที่รับคนโดยสารถึงที่เกิดเหตุเป็นระยะทางถึง ๓๐ กิโลเมตร  ทั้งอันตรายที่คนโดยสารได้รับก็เนื่องจากการขับของจำเลย  ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ว่า  จำเลยขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้มาก  ทั้งนี้  ก็เท่ากับศาลอุทธรณ์ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงไว้แล้วว่าการที่รถคว่ำและคนโดยสารตายและได้รับอันตรายสาหัสนั้น  ไม่ใช่เนื่องมาจากเหตุที่บรรทุกคนโดยสารเกินจำนวน  แต่เนื่องมาจากเหตุที่จำเลยขับรถเร็วอันเป็นการประมาท  หรืออีกนัยหนึ่งเท่ากับศาลอุทธรณ์ได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่า  การที่คนโดยสารตายและได้รับอันตรายสาหัสนั้นหาได้เนื่องจากเหตุที่จำเลยได้กระทำความผิดตามมาตรา ๒๓๓ นั้นไม่  ซึ่งข้อเท็จจริงย่อมยุติ  โจทก์จะฎีกาคัดค้านไม่ได้  และศาลฎีกาก็จะรับฟังเป็นประการอื่นมิได้  ฉะนั้น  คดีนี้จึงไม่มีทางที่จะลงโทษจำเลยตามมาตรา ๒๓๘ ได้
พิพากษาแก้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ว่า  จำเลยผิดมาตรา ๒๓๓  แต่บทที่ลงโทษจำเลยและการกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทุกประการ