โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 60 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 และนับโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2014/2553 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1) (2), 60 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 1 ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 จำนวน 12 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี ลงโทษจำเลยที่ 3 จำนวน 11 กระทง เป็นจำคุก 11 ปี ลงโทษจำเลยที่ 4 จำนวน 13 กระทง เป็นจำคุก 13 ปี ทางนำสืบและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 คนละหนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 7 ปี 4 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 8 ปี 8 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2014/2553 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากจำเลยที่ 2 พ้นโทษแล้ว ไม่อาจนับโทษต่อได้ จึงให้ยกคำขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องจำเลยที่ 1 ใหม่ภายในกำหนดอายุความ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 กระทง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 12 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินกระทงละห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์นำสืบถึงเจตนาพิเศษอันเป็นองค์ประกอบของกฎหมายครบถ้วนถูกต้องตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 แล้วหรือไม่ นั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้มานั้นไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ในปัญหาข้อกฎหมายเพียงประการเดียวว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2014/2553 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า ฟ้องโจทก์ระบุยืนยันว่า จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันกระทำธุรกรรมโอนเงิน รับโอนเงิน และถอนเงินผ่านบัญชีธนาคารซึ่งเป็นเงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานฟอกเงิน รูปเรื่องข้อเท็จจริงเป็นการกระทำการภายหลังจากมีการกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนแล้ว เป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดดังกล่าว แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวพันหรือต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายคนละฉบับ โดยตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 นั้นมีเจตนารมณ์ที่ต้องการแก้ปัญหาเนื่องจากในปัจจุบันผู้ประกอบอาชญากรรมซึ่งกระทำความผิดกฎหมายบางประเภท ได้นำเงินหรือทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดนั้นมากระทำการในรูปแบบต่าง ๆ อันเป็นการฟอกเงิน เพื่อนำเงินหรือทรัพย์สินนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ในการกระทำความผิดต่อไปได้อีก ทำให้ยากแก่การปราบปรามการกระทำความผิดกฎหมายเหล่านั้น จึงต้องมีการตัดวงจรการประกอบอาชญากรรมดังกล่าว การกระทำของจำเลยที่ 2 แสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 2 มีเจตนากระทำผิดต่อกฎหมายต่างกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่จำเลยที่ 2 อ้างไม่ เมื่อมีการฟ้องร้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและฐานร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องในความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นคดีนี้ได้ ไม่ใช่เป็นการฟ้องร้องลงโทษจำเลยที่ 2 หลายครั้งในการกระทำผิดครั้งเดียวซึ่งจะเป็นการละเมิดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR) ข้อ 14 (7) ซึ่งกำหนดไว้ว่า บุคคลย่อมไม่ถูกพิจารณา หรือลงโทษซ้ำในความผิดซึ่งบุคคลนั้นต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ หรือให้ปล่อยตัวแล้วตามกฎหมายและวิธีพิจารณาความอาญาของแต่ละประเทศแต่อย่างใด ทั้งการฟ้องร้องในคดีนี้ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตแต่อย่างใด ฟ้องโจทก์คดีนี้สำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.2014/2553 ของศาลชั้นต้น ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน