คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสองเอง หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 300,000 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินทั้งสองดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จแก่โจทก์ แต่ไม่เกิน 12 เดือน และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ส่วนค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5014 ออกขายทอดตลาด ปรากฏว่าผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อได้ในราคา 1,102,000 บาท
ผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและขอรับเงินมัดจำคืน
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ซื้อทรัพย์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์ขอหมายบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5014 ออกขายทอดตลาด ผู้ซื้อทรัพย์ประมูลซื้อได้ในราคา 1,102,000 บาท
คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามที่ผู้ซื้อทรัพย์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า การกระทำของเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบแผนที่ตั้งทรัพย์และรูปภาพของทรัพย์ที่โจทก์นำยึดว่าตรงกับสภาพความเป็นจริงในสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เป็นเหตุให้ผู้ซื้อทรัพย์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ผู้ซื้อทรัพย์นำสืบว่า หลังจากที่ทำการซื้อและยังไม่ชำระราคาครบถ้วนนั้น ผู้ซื้อทรัพย์นำพนักงานรังวัดสำนักงานที่ดินจังหวัดขอนแก่น สาขาบ้านไผ่ ไปตรวจสอบหลักเขตที่ดินดังกล่าว แล้วพบว่าที่ดินมีทำเลที่ตั้งไม่ตรงตามแผนที่ประกาศขายทอดตลาด ที่ตั้งจริงของทรัพย์อยู่ห่างจากที่ตั้งของทรัพย์ตามประกาศขายทอดตลาดเป็นระยะทางถึง 5 กิโลเมตร ทั้งมีเนื้อที่เพียง 18 ไร่เศษ ซึ่งต่างจากประกาศขายทอดตลาดที่ระบุว่ามีเนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 46 ตารางวา และไม่มีสภาพที่ดินตามที่ปรากฏในประกาศขายทอดตลาด ที่ดินไม่มีทางเข้าออก บางส่วนติดที่สาธารณประโยชน์ ไม่สามารถทำการเกษตรได้ การเสนอขายทรัพย์มีความคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญแห่งทรัพย์ทำให้ผู้ซื้อทรัพย์สำคัญผิดในสาระสำคัญ โดยโจทก์ จำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้นำสืบให้รับฟังเป็นประการอื่น จึงต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ตั้งจริงของทรัพย์อยู่ห่างจากที่ตั้งของทรัพย์ตามประกาศขายทอดตลาดเป็นระยะทางถึง 5 กิโลเมตร ทั้งมีเนื้อที่เพียง 18 ไร่เศษ ซึ่งต่างจากประกาศขายทอดตลาดที่ระบุว่ามีเนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 46 ตารางวา และไม่มีสภาพที่ดินตามที่ปรากฏในประกาศขายทอดตลาด ที่ดินไม่มีทางเข้าออก บางส่วนติดที่สาธารณประโยชน์ ตามที่ผู้ซื้อทรัพย์นำสืบ เมื่อปรากฏตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5014 เนื้อที่ 22 ไร่ 3 งาน 46 ตารางวา โดยมีแผนที่สังเขปท้ายประกาศดังกล่าวที่แสดงว่าด้านหนึ่งของที่ดินที่ขายทอดตลาดติดกับที่สาธารณประโยชน์ของกรมทางหลวง นอกจากนี้ยังมีภาพถ่ายแนบท้ายประกาศดังกล่าวที่แสดงว่าที่ดินที่นำออกขายทอดตลาดเป็นที่ดินที่ใช้ทำการเกษตร โดยปรากฏจากรายงานการขายทอดตลาดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2558 ว่า โจทก์เป็นผู้นำส่งภาพถ่ายและแผนที่ที่ตั้งทรัพย์โดยโจทก์ยืนยันว่าเอกสารตามที่นำส่งถูกต้องตรงกันกับทรัพย์ที่ประสงค์จะขอนำยึดทุกประการ ดังนั้น โจทก์จึงเป็นผู้นำส่งภาพถ่ายและแผนที่ที่ตั้งทรัพย์และยืนยันเอกสารซึ่งแตกต่างจากความเป็นจริง ที่ดินที่ขายทอดตลาดมีที่ตั้งห่างจากที่ปรากฏในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5014 ถึง 5 กิโลเมตร และมีเนื้อที่แตกต่างกันประมาณ 5 ไร่ ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 20 ของเนื้อที่จริง ถือว่าที่ดินที่ขายทอดตลาดมีสถานที่ตั้งและเนื้อที่แตกต่างจากที่ปรากฏในประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5014 เป็นอย่างมาก แม้รายงานการปิดประกาศยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 ของพนักงานเดินหมายระบุว่า ปิดประกาศ ณ ที่ตั้งทรัพย์ตามแผนที่ท้ายประกาศฯ ครั้นมาถึงสถานที่ดังกล่าวปรากฏว่า ที่ตั้งทรัพย์ตรงตามแผนที่ จึงปิดประกาศไว้ตามคำสั่งแล้ว และตามรายงานการเดินหมายในการประกาศขายทอดตลาดทรัพย์เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2558 ของพนักงานเดินหมายก็ได้จัดทำแผนที่โดยสังเขปซึ่งเป็นที่ตั้งของทรัพย์ที่ขายทอดตลาดไว้ใกล้เคียงกับแผนที่สังเขปท้ายประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีด้วย ทั้งตามประกาศดังกล่าวมีข้อสัญญาท้ายประกาศว่า ผู้ซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะซื้อตามสถานที่ และแผนที่การไปที่ปรากฏในประกาศ และถือว่าผู้ซื้อทรัพย์ได้ทราบถึงสภาพทรัพย์โดยละเอียดครบถ้วนแล้ว ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามสำนวนปรากฏว่า ที่ตั้งของที่ดินที่ขายทอดตลาดแตกต่างจากแผนที่ที่โจทก์ทำขึ้นและนำส่งให้แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ปรากฏในประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี และหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5014 ไปมาก การปิดประกาศ ณ ที่ตั้งทรัพย์ดังกล่าวจึงเป็นการปิดประกาศ ณ สถานที่ที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ดังนั้นแม้ผู้ซื้อทรัพย์ไปดูที่ดินตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีระบุไว้ในแผนที่สังเขปก็จะทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ไปตรวจทรัพย์ ณ สถานที่ที่ตั้งทรัพย์ที่ไม่ใช่ที่ตั้งทรัพย์จริงและผู้ซื้อทรัพย์อาจไม่ทราบถึงความคลาดเคลื่อนดังกล่าวได้ และก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะประกาศขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะตรวจสอบที่ดินแปลงดังกล่าวเสียก่อนและประกาศขายทอดตลาดโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะขายทอดตลาดให้ตรงกับความเป็นจริง การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประกาศขายทอดตลาดทรัพย์ตามประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยแนบแผนที่สังเขปว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ติดกับที่สาธารณประโยชน์ ทั้ง ๆ ที่ที่ดินแปลงดังกล่าวมีสภาพเป็นที่ตาบอด ย่อมทำให้ผู้ซื้อทรัพย์สำคัญผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะขายทอดตลาดว่าเป็นที่ดินที่อยู่ติดทางสาธารณะ และมีเนื้อที่ของที่ดินตรงตามที่ประกาศ ซึ่งนับว่าเป็นข้อสาระสำคัญ เป็นผลทำให้ประกาศเจ้าพนักงานบังคับคดีระบุข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์ที่จะขายไม่ตรงกับความเป็นจริง การกระทำดังกล่าวของโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดีทำให้ผู้ซื้อทรัพย์สำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ จึงฟังได้ว่าการขายทอดตลาดดังกล่าวเป็นไปโดยไม่ชอบ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการขายทอดตลาดและให้เจ้าพนักงานบังคับคดีคืนเงิน 50,000 บาท แก่ผู้ซื้อทรัพย์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ