กรณีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ รวม ๗ รายการ
ผู้ร้องร้องว่าทรัพย์ทั้ง ๗ รายการ มิใช่ทรัพย์สินของจำเลยที่ ๒ ทรัพย์ตามรายการที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นทรัพย์ที่ผู้ร้องและจำเลยที่ ๒ ยกให้กับบุตรในวันที่ผู้ร้องและจำเลยที่ ๒ จดทะเบียนหย่ากัน ตามสำเนาเอกสารท้ายคำร้อง ส่วนบ้านตามรายการที่ ๗ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเพราะเป็นสินเดิม ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยที่ ๒ ผู้ร้องและจำเลยที่ ๒ ได้หย่าและทำบันทึกการหย่าหลังเกิดหนี้รายนี้แล้วเป็นการสมคบกันฉ้อฉลเพื่อยักย้ายถ่ายเททรัพย์ให้พ้นจากการบังคับคดี ผู้ร้องกับจำเลยที่ ๒ ยังอยู่กินฉันสามีภรรยากันตามปกติ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องและจำเลยที่ ๒ ยกทรัพย์สินทั้ง ๗ รายการให้บุตรแล้ว ผู้ร้องมิได้กระทำการแทนบุตรไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพากษายกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า บ้านทรัพย์รายการที่ ๗ เป็นสินเดิมของผู้ร้อง ยังมิได้หานิติกรรมและจดทะเบียนการยกให้ต่อเจ้าหนี้ การยกให้ไม่สมบูรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บ้านเลขที่ ๑๖ ทรัพย์รายการที่ ๗ เดิมเป็นสินเดิมของผู้ร้องและเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่การยกให้ไม่สมบูรณ์บ้านยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง พิพากษาแก้เป็นให้เป็นปล่อยบ้านเลขที่ ๑๖ ซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดที่ ๑๔๘๐๓ แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร จากการยึด นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เดิมผู้ร้องมีที่ดินและบ้านอยู่ในซอยเกษมสันต์ ๓ ถนนพระราม ๑ ปทุมวัน บ้านและที่ดินดังกล่าวเป็นสินเดิมซึ่งผู้ร้องมีมาก่อนได้จำเลยที่ ๒ เป็นภรรยา ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่มีทรัพย์สินอะไร ผู้ร้องขายบ้านและที่ดินสินเดิมดังกล่าวแล้วไปซื้อบ้านเลขที่ ๑๖ ที่พิพาทพร้อมที่ดิน บ้านพิพาทจึงเป็นสินเดิมของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๕ เดิมซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นซึ่งตามพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.๒๕๑๙ มาตรา ๗ ได้บัญญัติให้สินเดิมดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวแม้จะได้ความว่าเมื่อผู้ร้องกับจำเลยที่ ๒ ได้หย่าและได้ตกลงกันในเรื่องทรัพย์สินตามเอกสารหมาย ร.๒ ว่า ทรัพย์สินใด ๆ ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นสินเดิมของผู้ร้องมาก่อน หรือเป็นสินสมรสระหว่างเป็นสามีภรรยา ยกให้บุตรทั้งสี่คนก็ตาม แต่การยกให้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะบ้านเป็นอสังหาริมทรัพย์ และเป็นสินเดิมของผู้ร้องซึ่งรวมอยู่ในทรัพย์ที่ระบุไว้ในเอกสารหมาย ร.๒ ด้วย เมื่อการยกให้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การยกให้ก็ไม่มีผลสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๒๕ บ้านพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดบ้านพิพาท
ที่โจทก์ฎีกาว่า ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการให้ไม่สมบูรณ์เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่าปัญหาดังกล่าวเกี่ยวกับประเด็นหรือข้อเท็จจริงที่ว่า บ้านพิพาทเป็นของผู้ร้องหรือไม่ เพราะหากฟังว่าการยกให้ตามเอกสารหมาย ร.๒ มีผลสมบูรณ์ก็มิใช่ทรัพย์สินของผู้ร้อง แต่การยกให้ไม่สมบูรณ์ บ้านพิพาทก็ยังคงเป็นของผู้ร้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นซึ่งได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นนั่นเอง
ฎีกาของโจทก์ที่ว่าการยกให้ไม่สุจริตนั้นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายืน