โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์เป็นบุตรนายชุนหรือชุนกี่  จำเลยเป็นพี่โจทก์แต่ต่างมารดากัน  นายชุนกี่ตายไปโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้  ขณะนั้นโจทก์ยังเป็นผู้เยาว์นางเย้งมารดาโจทก์ไจัดการในเรื่องรับมรดกแทนโจทก์  ต่อมาศาลได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายชุนกี่  ร่วมกับนางเบ้งและนางสาวพรรณี  ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่  นายชุนกี่ได้รับเหมาก่อสร้างใช้ยี่ห้อว่า "ชุนกี่" และได้รับเหมาก่อสร้างเพิ่มเติมอาคารที่ทำการโทรศัพทืกลางที่สี่แยกถนนสามเสนกับราชวิถีตัดกัน  เมื่อถึงแก่กรรม มีเงินค่าก่อสร้างงวดที่ ๓, เงินมัดจำสัญญา, เงินมัดจำซองประมูลและเงินสินจ้างงวดสุดท้ายซึ่งกรมไปรษณีย์ ฯ ยังค้างจ่ายอยู่เงินทั้งหมดนี้เป็นมรดก  แต่จำเลยปิดบังความจริง คือ นำเงินเฉพาะสินจ้างงวดสุดท้ายกับเงินฝากธนาคารเท่านั้นมาแบ่งปันให้แก่ทายาท  ไม่แจ้งเรื่องเงินค่าก่อสร้างงวดที่ ๓  เงินมัดจำสัญญาและเงินมัดจำของประมูลรวม ๑๔๘,๙๑๕ บาท  ให้ทายาทและผู้จัดการมรดกอื่นทราบความเพิ่งปรากฏแก่โจทก์ว่าจำเลยได้รับเงินดังกล่าวมาแล้ว  จำเลยกับผู้จัดการมรดกอีก ๒ คน  ได้ตกลงทำสัญญาแบ่งมรดกไว้ว่า  ให้แบ่งเป็น ๑๑ ส่วน  โจทก์เป็นผู้มีส่วนได้ ๑ ส่วนเป็นเงิน ๑๓,๕๓๗.๓๒ บาท
โจทก์เคยบอกให้จำเลยแบ่งเงินให้แล้ว  จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับ
จำเลยให้การรับว่าจำเลยกับนางเบ้งและนางสาวพรรณีได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกจริง  ต่อมาผู้จัดการมรดกทั้งสามได้ทำสัญญาแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทรับไปเสร็จสิ้นแล้ว  นางเบ้งมารดาโจทก์เป็นผู้รับไปแทนโจทก์  จนบัดนี้เกินกว่า ๕ ปี โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องอีกได้  นอกจากนี้จำเลยยังยกข้อต่อสู้ประการอื่นด้วย
ในประเด็นเรื่องอายุความนี้  ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินมรดกของนายชุนกี่จากจำเลยเป็นการส่วนตัว  ไม่เกี่ยวแก่การจัดการมรดก  ข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าโจทก์ฟ้องเกิน ๕ ปี  คดีขาดอายุความ  จึงยังไม่ต้องกับคดีนี้  ส่วนข้อที่ว่าจะขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา ๑๗๕๔ หรือไม่  จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้  จึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย  พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์  ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า  เมื่อพิจารณาคำให้การของจำเลยที่อ้างว่า  การจัดการแบ่งมรดกของนายชุนกี่นี้  นางเบ้งซึ่งเป็นมารดาผู้ปกครองโจทก์และเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับจำเลยและนางสาวพรรณี  ได้ทำสัญญาแบ่งมรดกให้ทายาททุกคนได้รับเรียบร้อยไปแล้วจนบัดนี้  เป็นเวลาเกินกว่า ๕ ปี  โจทก์ไม่มีอำนาจนำคดีมาฟ้องร้องได้แล้ว  ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยอ้างอายุความที่เกี่ยวกับการจัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓๓  แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกมรดกที่จำเลยปิดบังไว้  ไม่เกี่ยวกับการจัดการมรดก  ทั้งพยานจำเลยก็ว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙  ก็ยังมีการแบ่งมรดกกันอีก  คดีจึงไม่ขาดอายุความตามมาตรา ๑๗๓๓  แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกมรดกที่จำเลยปิดบังไว้  ไม่เกี่ยวกับการจัดการมรดก  ทั้งพยานจำเลยก็ว่าเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๙  ก็ยังมีการแบ่งมรดกกันอีก  คดีจึงไม่ขาดอายุความตามมาตรา ๑๗๓๓ ส่วนที่ว่าจะขาดอายุความตามมาตรา ๑๗๕๔หรือไม่  ซึ่งจำเลยคัดค้านขึ้นมาในชั้นนี้ว่า  จำเลยได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้ว  แม้ไม่ได้อ้างบทมาตรามาด้วย  ก็เป็นหน้าที่ศาลที่จะวินิจฉัยว่าจะยกกฎหมายใดมาปรับคดี  และมีอายุความเท่าใด  โดยอ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๘๓/๒๔๘๗  สนับสนุนนั้น
ได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคำพิพากษาฎีกานั้นหาตรงกับคดีนี้ไม่  เพราะคดีนี้เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีความประสงค์ยกอายุความประสงค์ยกอายุความซึ่งเกี่ยวด้วยการจัดการมรดก  ขึ้นต่อสู้โดยตรงแต่อย่างเดียว  มิได้ยกอายุความตามมาตรา ๑๗๕๔ ขึ้นต่อสู้คดี  จึงไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย
ผลที่สุดศาลฎีกาพิพากษายืน