ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ ๑ กู้เงินโจทก์ไปโดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันเมื่อครบกำหนดชำระเงินแล้ว จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระเงินให้โจทก์บ้าง ส่วนที่เหลือนั้นโจทก์ให้ผัดต่อไปอีกโดยมิได้กำหนดเวลาชำระเงินไว้
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ฝ่ายโจทก์นำสืบได้ความว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญากู้แล้วโจทก์ยอมรับผ่อนชำระต้นเงินและรับดอกเบี้ยนั้น ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ ๑ อันเป็นเหตุให้จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นความรับผิดชอบ จึงพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันใช้ต้นเงินกับดอกเบี้ยให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์ได้ตกลงยินยอมให้จำเลยที่ ๑ ผัดชำระต้นเงินที่ค้างต่อไปโดยไม่ได้กำหนดเวลาไว้และโจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันทราบ จำเลยที่ ๒ ไม่ได้รู้เห็นตกลงด้วยย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดฐานเป็นผู้ค้ำประกันตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา ๗๐๐ จึงพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องฉะเพาะจำเลยที่ ๒
โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยศาลอุทธรณ์ว่า การที่โจทก์ยอมผัดผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ดังนี้ ทำให้จำเลยที่ ๒ หลุดพ้นจากฐานะผู้ค้ำประกัน และตามประมวลกฎหมายแพ่ง ฯ มาตรา ๗๐๐ หาได้บัญญัติถึงอายุความฟ้องร้องไม่ จำเลยที่ ๒ ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์