ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลอาญาว่า รองอธิบดีกรมตำรวจได้ออกหมายจับผู้ร้องในข้อหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมผู้ร้องและได้ควบคุมผู้ร้องไว้ตลอดมาเป็นเวลา 1 ปีเศษ โดยอาศัยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 12 โดยมิได้ปฏิบัติตามกำหนดเวลาการควบคุมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ต่อมาเมื่อ 28 มกราคม 2502 ได้มีประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรพ.ศ. 2502 แล้วได้ทรงพระกรุณาแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและมีประกาศตั้งคณะรัฐมนตรีแล้ว ผู้ร้องเห็นว่า ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 12 ใช้บังคับต่อไปไม่ได้ และการสอบสวนผู้ร้องก็เสร็จสิ้นแล้วด้วยการควบคุมผู้ร้องจึงเป็นการควบคุมโดยผิดกฎหมาย จึงขอให้ศาลอาญาไต่สวนแล้วสั่งปล่อยผู้ร้องไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 87, 90
ศาลอาญาไม่ไต่สวนโดยสั่งในคำร้องว่าข้อหาที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาอยู่ในอำนาจศาลทหารที่จะพิจารณาพิพากษา ศาลพลเรือนไม่มีอำนาจสั่ง จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า การที่ศาลล่างชี้ขาดว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจศาลทหารก็โดยพิจารณาจากข้อหาที่ผู้ร้องถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และทำผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับข้อที่ผู้ร้องมาร้องต่อศาลว่าถูกควบคุมโดยมิชอบฉะนั้น ประเด็นว่า ศาลทหารจะมีอำนาจพิจารณาพิพากษาข้อหาของผู้ร้องหรือไม่ จึงไม่ต้องวินิจฉัย เพราะในชั้นนี้มีปัญหาแต่เพียงว่าเมื่อผู้ร้องยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาลและไม่ได้ถูกควบคุมโดยอำนาจของศาล การร้องว่าถูกควบคุมโดยมิชอบนี้จะอยู่ในอำนาจของศาลใดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ไม่มีบัญญัติไว้ว่าคำร้องตามมาตรา 90 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จะยื่นต่อศาลใดศาลหนึ่งโดยเฉพาะ จะบัญญัติเช่นนั้นไว้ก็ไม่ได้ เพราะบุคคลอาจถูกควบคุมโดยไม่มีมูลกรณีจะฟ้องร้องเลยก็ได้ แม้ประกาศของคณะปฏิวัติก็ไม่มีกล่าวไว้ประการใด ฉะนั้นศาลที่ผู้ร้องจะร้องได้จึงหมายถึงศาลยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(1) นั่นเอง คดีนี้ผู้ร้องถูกควบคุมโดยพนักงานสอบสวนตำรวจสันติบาลในเขตอำนาจของศาลอาญา ๆ จึงมีอำนาจรับคำร้องของผู้ร้องไว้ดำเนินการต่อไปได้
จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และคำสั่งของศาลอาญาให้ศาลอาญารับคำร้องไว้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี