โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ขุดดินที่ปราสาทเซ็มพบเทวรูปอันเป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุกับเป็นสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าซึ่งฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ แล้วเบียดบังยักยอกเอาเทวรูปนั้นเป็นของตนและร่วมกันจำหน่ายเทวรูปนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๕,๓๓ พระราชบัญญัติโบราณสถานโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๔,๑๙,๒๔,๓๑ และ ๓๗ กับขอให้ริบเทวรูปของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๕ แต่ให้ยกคำขอให้ริบเทวรูปของกลางเสีย เพราะตามกฎหมาย เทวรูปนี้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของแผ่นดินอยู่แล้ว
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยทุกคนตามฟ้อง และให้ริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องและคืนของกลาง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง และให้คืนเทวรูปของกลาง
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษตามฟ้อง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ได้ขุดปราสาทเซ็มพบเทวรูปหินอ่อนสีอับ ๆ รูปนารายณ์สี่กรสวมชะฎา มือข้างซ้ายทั้งสองถือหอยและแท่งคัมภีร์ มือข้างขวาทั้งสองกำพวงมาลัยและดอกบัว เป็นเทวรูปโบราณราคาแพง ซึ่งซ่อนหรือฝังไว้โดยพฤติการณ์ซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถอ้างว่าเป็นเจ้าของได้ และจำเลยทั้งสองได้เบียดบังเอาเทวรูปนี้เป็นประโยชน์ของตนแล้วนำไปขายให้จำเลยที่ ๑ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า เทวรูปนี้เป็นโบราณวัตถุและศิลปวัตถุตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๔ และจำเลยทั้งสองมีผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าว มาตรา ๒๔ และ ๓๑ แต่เทวรูปไม่มีค่ามากเป็นพิเศษ จึงถือไม่ได้ว่าเป็นสังหาริมทรัพย์อันมีค่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๕
ส่วนเรื่องสั่งริบของกลาง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า ของกลางนี้ตกเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๒๔ โดยเฉพาะแล้ว ศาลไม่ต้องสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓ อีก
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยทั้งสองเอาเทวรูปไปขายนั้น ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการทำการค้าโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ตามนัยพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๑๙
พิพากษาแก้ ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้คืนของกลางให้จำเลยที่ ๑ กับให้ลงโทษจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ตามพระราชบัญญัติโบราณสถาน ฯลฯ พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๒๔,๓๑