นางเฟี้ยมฟ้องว่า นายอนันต์จำนองที่ดินโฉนดที่ 1679 ไว้แก่นางเฟี้ยม นายอนันต์วายชนม์ นายกิมหยง จำเลยที่ 1 เป็นบิดานายอนันต์ นางบุญชู จำเลยที่ 2 เป็นภรรยานายอนันต์ทำสัญญายอมความในศาลในคดีแดงที่ 53/2491 ให้ถอนชื่อนายอนันต์ออกจากโฉนดที่ 1679 นางเฟี้ยมจึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญายอมความตลอดจนคำพิพากษาท้ายยอม เพื่อให้ที่ดินโฉนดที่ 1679 เป็นของนายอนันต์ตามเดิม
นายกิมหยงจำเลยฟ้องแย้ง ขอให้เพิกถอนสัญญาจำนองระหว่างนางเฟี้ยมโจทก์ กับนายอนันต์
นางเฟี้ยมโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า รับจำนองจากนายอนันต์โดยสุจริต
ศาลชั้นต้นสอบจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองรับว่าสัญญายอมความในคดีแดงที่ 53/2491 เกิดขึ้นโดยไม่สุจริตจริง ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้เพิกถอนสัญญายอมความตลอดจนคำพิพากษาท้ายยอมซึ่งข้อนี้ยุติเพียงศาลชั้นต้น ส่วนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นตรวจดูฟ้องคดีแดงที่ 53/2491 ฟ้องนั้นนายกิมหยงกล่าวว่า ที่ดินโฉนดนี้นางเฟี้ยมรับจำนองไว้จากนายอนันต์โดยสุจริต เมื่อเป็นเช่นนี้ศาลชั้นต้นจึงฟังข้อเท็จจริงว่า นางเฟี้ยมรับจำนองที่ดินจากนายอนันต์โดยสุจริต พิพากษายกฟ้องแย้ง โดยไม่ต้องสืบพยาน
นายกิมหยงอุทธรณ์ขอสืบพยาน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายกิมหยงฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามฎีกาของนายกิมหยง ๆ ก็รับว่าในคำฟ้องในคดีแดงที่ 53/2491 ได้กล่าวว่า นางเฟี้ยมรับจำนองโดยสุจริตแต่ไม่เป็นความจริง จึงจะขอสืบว่า นางเฟี้ยมจำนองโดยไม่สุจริต
ตามที่กล่าวมานี้ปรากฎว่า นายกิมหยงกล่าวคำรับในสำนวนความฟังได้ตามกฎหมาย อนึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 104 มีว่า ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในวันที่จะวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้น จะเกี่ยวพันกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วให้พิพากษาคดีไปตามนั้นฉนั้น การที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานและฟังข้อเท็จจริงว่านางเฟี้ยมรับจำนองโดยสุจริตนั้น ชอบแล้ว ไม่ผิดวิธีพิจารณาจึงพิพากษายืน