โจทก์ฟ้องจำเลยและได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์เป็นงวด ๆ ผิดนัดงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมด นายอรรณพได้เป็นผู้ค้ำประกันว่าถ้าจำเลยผิดนัดงวดใดงวดหนึ่งยอมให้โจทก์บังคับเอาแก่ตนได้ทันที ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินงวด 3-4 เป็นเงิน 59,491 บาท โจทก์ขอให้ออกคำบังคับเอาแก่ผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จึงขอให้ยึดที่ดิน 1 แปลงของผู้ค้ำประกันตีราคา 762,250 บาท
ผู้ค้ำประกันยื่นคำร้องว่าที่ดินที่ถูกยึดติดภาระจำนอง 650,000 บาท หากจะขายโดยติดจำนองจะได้ราคาไม่เกิน 70,000 บาท เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาสูงเกินควรขอให้ตีราคาที่ดินเท่ากับเงินที่ผู้ค้ำประกันจะต้องชำระให้โจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งว่าทรัพย์ที่ยึดเป็นที่ดินทั้งโฉนด จึงต้องยึดมาทั้งแปลงแม้ราคาเกินหนี้ก็ไม่ผิดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 284 ราคาที่ตีก็สมควรแล้วการยึดและไม่มีการขาย หน้าที่เสียค่าธรรมเนียมตกอยู่แก่โจทก์ ให้ยกคำร้อง
ผู้ค้ำประกันอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ค้ำประกันฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า ตามตาราง 5 ข้อ 3 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ให้คิดค่าธรรมเนียมร้อยละสามครึ่งของราคาทรัพย์ที่ยึด จึงต้องคิดค่าธรรมเนียมตามราคาที่แท้จริงของทรัพย์ที่ยึด จะเอาจำนวนหนี้จำนองหักราคาที่แท้จริงของทรัพย์ที่ยึดแล้วตีราคาตามยอดเงินเมื่อเหลือจากเอาหนี้จำนองหักออกแล้วหาได้ไม่ และราคาอันแท้จริงที่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีไว้ 762,250บาทนับว่าเป็นราคาอันสมควรแล้ว
ที่ผู้ค้ำประกันฎีกาว่า เมื่อศาลชั้นต้นสั่งว่าหน้าที่เสียค่าธรรมเนียมตกอยู่แก่โจทก์และโจทก์มิได้อุทธรณ์ ก็ต้องให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลชั้นต้นมิได้สั่งให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมดังที่ผู้ค้ำประกันกล่าวอ้าง เป็นแต่แจ้งให้ทราบว่าเมื่อยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย(ซึ่งมีหลายกรณี) หน้าที่เสียค่าธรรมเนียมตกอยู่แก่โจทก์เท่านั้นแต่กรณีนี้เป็นเรื่องผู้ค้ำประกันขอวางเงินชำระหนี้ให้โจทก์เพื่อจะขอให้ศาลสั่งถอนการยึด จึงต้องชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน และต้องชำระค่าธรรมเนียมในการบังคับคดีโดยครบถ้วนด้วย ศาลจึงจะสั่งถอนการยึดได้
พิพากษายืน